แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงครามและถูกจับก่อนคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 ที่ให้ผู้ที่มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้แต่เฉพาะในการสงครามไว้ในครอบครองนำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519 ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ มีผลใช้บังคับ แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้หลังวันที่ 14 ตุลาคม 2519 จำเลยก็ไม่ต้องรับโทษศาลยกฟ้อง
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยถูกเจ้าพนักงานจับกุมเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2519 ซึ่งเป็นการกระทำผิดก่อนคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2519 ที่ให้ผู้ที่มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามไว้ในครอบครองนำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายว่าด้วย อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2519ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ทั้งรูปคดีดังกล่าวนี้ ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1699/2520 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์โจทก์ นายมานะ พันธ์เพ็ง จำเลย ว่าจำเลยกระทำผิดก่อนวันประกาศใช้พระราชบัญญัติอาวุธปืน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 เจ้าพนักงานจับและยึดกระสุนปืนไว้เป็นของกลาง แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยภายหลังระยะเวลา 90 วันที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ล่วงพ้นไปแล้วก็ตาม จำเลยก็ไม่ต้องรับโทษ เพราะจำเลยได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว เหตุดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการชอบด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว”
พิพากษากลับ บังคับตามศาลชั้นต้น