แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถชนรถของ พ.ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ได้รับความเสียหาย และ พ. ได้นำรถไปซ่อมและชำระค่าซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อโจทก์ขอต่อรองและชดใช้ค่าเสียหายเป็น ค่าสินไหมทดแทนที่น้อยกว่าความเป็นจริงให้แก่ พ.ไปแล้วโจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของพ. เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้ขับรถที่เอาประกันภัย ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ สัญญาประกันภัย ไม่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 3.9.2. ย่อมไม่เกิดสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงสิทธิได้ ตามกฎหมาย โดยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมและแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 76,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7 จ – 2126 กรุงเทพมหานคร และมิได้ชำระค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถยนต์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ความเสียหายของรถยนต์คันดังกล่าวไม่เกิน 30,000 บาท ความเสียหายมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียว แต่เกิดจากนายวีระพล กรศรีทิพาด้วยทำให้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 25,605 บาทจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า นางพวงรัตน์ กรศรีทิพา มิได้เอารถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7จ-2126 กรุงเทพมหานคร ประกันภัยไว้กับโจทก์สัญญาประกันภัยตามฟ้องโจทก์กับผู้เอาประกันภัยสมคบกันทำขึ้นภายหลังเกิดเหตุเพื่อฉ้อฉลจำเลย โจทก์จึงมิใช่ผู้รับช่วงสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของนายวีระพล กรศรีทิพา แต่ฝ่ายเดียวหรือมากกว่าจำเลยที่ 2 ค่าเสียหายไม่ถึง76,840 บาท จำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ไม่ต้องชดใช้ให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 76,840 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์มิได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน7จ-2126 กรุงเทพมหานคร และมิได้ชำระค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อว่านางพวงรัตน์ กรศรีทิพา จะเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวและได้เอาประกันไว้กับโจทก์จริง เห็นว่า โจทก์มีนายอดิศักดิ์ เชี่ยวสุทธิ พนักงานพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์เบิกความเป็นพยานโดยมีกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4และหลักฐานการจ่ายค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.8 ยืนยันว่า โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากนางพวงรัตน์เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2529 และได้ชำระค่าเสียหายให้แก่นางพวงรัตน์ไปจำนวน 76,840 บาท เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2529 ซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้นำพยานมาสืบหักล้างตามข้อต่อสู้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะผู้ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ สัญญาประกันภัยไม่คุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.9.2 ย่อมไม่เกิดสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงสิทธิได้ตามกฎหมายนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน