คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สินค้าพิพาทเป็นสินค้าที่เสียหายเนื่องจากน้ำท่วมและกองรวมไว้ในโกดังโดยมิได้จำแนกว่าเสียหายมากน้อยเป็นจำนวนเท่าใด ในการซื้อขายสินค้าพิพาทดังกล่าวทั้งโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขาย และจำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อต่างมิได้ยึดถือเอกสารที่ระบุถึงรายการสิ่งของที่ได้รับความเสียหายเป็นข้อสำคัญ หากประสงค์จะซื้อขายสินค้าทั้งหมดที่กองไว้นั้นในลักษณะขายเหมาเมื่อจำเลยประมูลซื้อได้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าทั้งหมดตกเป็นของจำเลยโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในกรณีที่สินค้าดังกล่าวเสียหายเพิ่มเติม จำเลยมีหน้าที่ชำระราคาสินค้าแก่โจทก์จนครบ.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากภัยน้ำท่วมออกประมูลขาย ปรากฎว่าจำเลยเป็นผู้ประมูลได้ในราคา 750,000 บาท จำเลยได้รับสินค้าไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วและชำระราคาส่วนหนึ่งเป็นเงิน 400,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงิน 350,000 บาท ให้โจทก์ไว้ถึงกำหนดโจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ประกาศขายสินค้าตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข 4 สินค้าที่เปิดประมูลขายมีจำนวนไม่ครบตามที่ประกาศจำเลยจึงมิได้รับชำระหนี้ครบถ้วน เช็คที่จำเลยจ่ายให้โจทก์จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระเงิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 350,000 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงที่รับกันในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อเดือนกันยายน 2526 ฝนตกน้ำท่วมโกดังสินค้าของบริษัทโอเรียนตัลสยาม (1978) จำกัด สินค้าที่เก็บไว้ภายในโกดังเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้บริษัทโอเรียนตัลสยาม (1978) จำกัด ครบถ้วนแล้ว โจทก์รับเอาสินค้าประเภทผลิตภัณฑ์นมผงและเคมีภัณฑ์ที่เสียหายจากน้ำท่วมดังกล่าวไว้ปรากฎตามรายการสิ่งของที่ได้รับความเสียหายเอกสารหมาย จ. 9หรือ ล. 1 หรือ ล. 19 และนำสินค้าดังกล่าวออกขายทอดตลาด จำเลยเป็นผู้ประมูลซื้อได้ในราคา 750,000 บาท โจทก์ตกลงขายสินค้าดังกล่าวให้จำเลย จำเลยชำระราคาสินค้าจำนวน 400,000 บาท ให้แก่โจทก์แล้วส่วนที่เหลืออีกจำนวน 350,000 บาทจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาคลองเตย หมายเลข 0395144 ลงวันที่ 24ตุลาคม 2526 จำนวนเงิน 350,000 บาท ตามเช็คเอกสารหมาย จ. 4 แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดการจ่ายเงิน โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ. 10 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์หรือไม่…ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้ทำการประมูลขายสินค้าพิพาทโดยมีรายการสิ่งของที่ได้รับความเสียหายเอกสารหมาย จ. 9 หรือ ล. 1 หรือ ล. 19 แจ้งให้ผู้ประมูลทราบ และให้ผู้ประมูลไปตรวจดูสินค้าที่จะประมูลซึ่งกองรวมไว้ในโกดังเก็บสินค้าก่อนวันประมูล ศาลฎีกาเห็นว่าสินค้าพิพาทเป็นสินค้าที่เสียหายเนื่องจากน้ำท่วมและกองรวมไว้ในโกดังโดยมิได้จำแนกว่าสินค้าเหล่านั้นเสียหายมากน้อยเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใด เมื่อโจทก์ได้ให้ผู้ประมูลไปตรวจดูสินค้าก่อนที่จะทำการประมูล ย่อมแสดงว่าโจทก์มิได้มุ่งประสงค์ที่จะยึดถือรายการสิ่งของที่ได้รับความเสียหายที่ระบุในเอกสารหมาย จ. 9 หรือ ล. 1 หรือ ล. 19 เป็นข้อสำคัญ หากประสงค์จะขายสินค้าทั้งหมดที่กองไว้นั้น ทั้งก่อนที่จำเลยจะประมูลซื้อ จำเลยก็ทราบถึงจำนวนและมูลค่าของสินค้าพิพาทเป็นอย่างดีแล้ว จึงทำใบเสนอซื้อเข้าประมูลราคา ซึ่งแสดงว่าจำเลยซื้อสินค้านั้นโดยมิได้เชื่อและยึดถือจำนวนสินค้าตามรายการเป็นข้อสำคัญเช่นกัน การขายสินค้าพิพาทจึงเป็นการขายสินค้าที่เสียเนื่องจากน้ำท่วมทั้งหมดในโกดังแบบขายเหมาเมื่อจำเลยประมูลซื้อได้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าทั้งหมดตกเป็นของจำเลย โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในกรณีที่สินค้าดังกล่าวเสียหายเพิ่มเติมทำให้ขาดจำนวนเพราะโยนทิ้งไปดังที่โจทก์นำสืบ จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์จนครบที่จำเลยอ้างว่าได้สินค้าไม่ครบตามรายการที่ประกาศ จำเลยมีสิทธิไม่ชำระราคาได้นั้น ฟังไม่ขึ้น เมื่อโจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระราคาหนี้เดิมจึงยังไม่ระงับ จำเลยต้องรับผิดชำระเงิน 350,000 บาทแก่โจทก์…’
พิพากษายืน.

Share