แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุบาดหมางกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นฝ่ายมาหาจำเลย แม้ผู้เสียหายจะทวงเงินจากจำเลยไม่ได้ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจหรือต่อว่าจำเลย ส่วนที่จำเลยขอเงินจากผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี สาเหตุเท่านี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าผู้เสียหาย การที่จำเลยพูดว่า “ถ้าไม่ให้มึงตาย” จะถือเอาเป็นจริงตามคำพูดนั้นหาได้ไม่ ต้องดูพฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นประกอบด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนติดกับล้อรถจักรยานยนต์ด้านหน้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะทำร้ายผู้เสียหายได้ถนัด มีดโกนของกลางมีใบมีดกว้างเพียง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร เป็นมีดโกนเก่าที่จำเลยเคยใช้โกนหนวดและเคราให้ผู้เสียหายโดยสภาพแล้วไม่ใช่อาวุธ แม้จำเลยจะใช้ปาดที่บริเวณลำคอแต่ก็ปาดครั้งเดียว บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเป็นเพียงแผลลึกถึงใต้ชั้นผิวหนังแพทย์ลงความเห็นว่าใช้เวลารักษา 7 วันและไม่ปรากฏว่าจำเลยจะใช้มีดโกนของกลางทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำ โดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 5 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะข้อความที่ตัดสินว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งหมดไม่อาจบ่งชี้เจตนาของจำเลยที่จะฆ่าผู้เสียหาย แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นได้ ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยฎีกาได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตให้ฎีกา และแม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน แต่ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมายังไม่ชัดเจน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ชัดเจนตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยกับผู้เสียหายเคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13.30 นาฬิกาผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปกับบุตรสาวเพื่อทวงเงินจากจำเลย ผู้เสียหายจอดรถจักรยานยนต์ที่ถนนหน้าบ้านของจำเลย จำเลยออกจากบ้านมายืนติดกับล้อรถจักรยานยนต์ด้านหน้า ผู้เสียหายถามว่าทำไมไม่เอาเงินไปให้จำเลยบอกว่าใช้หมดแล้วและขอให้ผู้เสียหายเอาเงินมาให้ ผู้เสียหายบอกว่าไม่มีจำเลยล้วงเอามีดโกนของกลางมีด้ามจับใบมีดกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตรมาปาดที่ลำคอของผู้เสียหาย1 ครั้งพร้อมกับพูดว่า “ถ้าไม่ให้มึงตาย” เป็นเหตุให้ผู้เสียหายมีบาดแผลที่ลำคอยาว 10 เซนติเมตร ลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง ไม่ถูกหลอดลมหรือเส้นเลือดใหญ่แพทย์เย็บบาดแผล 18 เข็มและลงความเห็นว่าบาดแผลใช้เวลารักษา 7 วันถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน เห็นว่า จำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุบาดหมางกัน วันเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นฝ่ายมาหาจำเลย แม้ผู้เสียหายจะทวงเงินจากจำเลยไม่ได้ ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจหรือต่อว่าจำเลย ส่วนที่จำเลยขอเงินจากผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่มีสาเหตุเท่านี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าผู้เสียหายการที่จำเลยพูดว่า “ถ้าไม่ให้มึงตาย” จะถือเอาเป็นจริงตามคำพูดนั้นหาได้ไม่ ต้องดูพฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นประกอบด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยยืนติดกับล้อรถจักรยานยนต์ด้านหน้า ไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะทำร้ายผู้เสียหายได้ถนัด มีดโกนของกลางมีใบมีดกว้างเพียง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตร ผู้เสียหายเบิกความว่าเป็นมีดโกนเก่าที่จำเลยเคยใช้โกนหนวดและเคราให้ผู้เสียหาย โดยสภาพแล้วไม่ใช่อาวุธ แม้จำเลยจะใช้ปาดที่บริเวณลำคอแต่ก็ปาดครั้งเดียว บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเป็นเพียงแผลลึกถึงใต้ชั้นผิวหนัง แพทย์ลงความเห็นว่าใช้เวลารักษา 7 วัน และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยจะใช้มีดโกนของกลางทำร้ายผู้เสียหายซ้ำอีก คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย อนึ่ง ผู้เสียหายเบิกความไว้ว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แล้ว ผู้เสียหายให้อภัยและไม่ประสงค์จะให้จำเลยได้รับโทษทางอาญา ประกอบกับข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติว่า ไม่พบประวัติการกระทำผิดของจำเลยและจำเลยยังมีภาระต้องอุปการะบุตร 3 คน จึงเห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกไว้สักครั้งและคุมความประพฤติไว้ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุก 2 ปี และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้งภายใน 1 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3