คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4646/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ดำเนินการตามที่จำเป็นในการที่จะฟ้อง ม. กับพวกแล้วและที่ไม่สามารถฟ้อง ม. กับพวกนั้นมิใช่ความผิดของโจทก์เมื่อปรากฏว่าในเดือนกรกฎาคม 2530 จำเลยได้ตกลงให้คนอื่นดำเนินการเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ แทนโจทก์ จึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจ้าง จำเลยจึงต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามควรค่าแห่งการที่โจทก์ได้ทำไปเพื่อฟ้อง ม. กับพวก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2529 จำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความดำเนินคดีให้ 4 เรื่อง กล่าวคือ เรื่องแรกให้ฟ้องนายชนัตถ์ฐานผิดสัญญากู้เงิน ตกลงค่าทนายความและค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 17,125 บาท เรื่องที่สองให้ฟ้องนายไพบูลย์กับพวกข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตกลงค่าทนายความและค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 67,000 บาท เรื่องที่สามให้โจทก์ติดตามทวงหนี้จากนายภิรมย์ ตกลงค่าทนายความและค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 7,000 บาท เรื่องที่สี่ให้ฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญานายมนตรากับพวก โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการสืบหาที่อยู่ของนายมนตรากับพวก รวมกับค่าบริการเป็นเงิน 13,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ 104,125 บาท จำเลยชำระเงินแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 25,000 บาท คงค้างชำระอีก 79,125 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จึงต้องชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน495 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 79,620 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เสนอที่จะดำเนินคดีแก่ลูกหนี้ของจำเลยโดยจำเลยได้จ่ายเงินแก่โจทก์ไป 22,000 บาท โจทก์ไม่ได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นตามข้อตกลง กล่าวคือ ในคดีฟ้องนายชนัตถ์โจทก์มิได้บังคับคดีกับจำเลย ในเรื่องร้อยเอกภิรมย์โจทก์เพียงติดตามร้อยเอกภิรมย์มาทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย และโจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่งนายมนตรากับพวก เมื่อหักทอนบัญชีเงินที่โจทก์รับจากจำเลยไปยังมีเงินเหลืออยู่ 6,500 บาท จำเลยจึงให้โจทก์ฟ้องนายไพบูลย์กับพวกโดยตกลงให้เอาเงินดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่าย จำเลยยังไม่ได้รับชำระหนี้จากนายไพบูลย์กับพวกขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 11,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่3 สิงหาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,500 บาทคำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 600 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาแรกว่า จำเลยจะต้องชำระค่าใช้จ่ายในกรณีที่ว่าจ้างให้โจทก์ดำเนินคดีแก่นายมนตรากับพวกหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.1 จำเลยจะจ่ายค่าใช้จ่ายต่อเมื่อโจทก์ฟ้องนายมนตรากับพวกเท่านั้น แต่โจทก์มิได้ฟ้องนายมนตรากับพวก จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่าย เห็นว่า ตามข้อนำสืบของจำเลยฟังได้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องนายมนตรากับพวก แต่เหตุที่โจทก์มิได้ฟ้องนายมนตรากับพวกนั้นโจทก์นำสืบว่าได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับนายมนตรากับพวกเพื่อจะดำเนินการฟ้องคดี ซึ่งในเรื่องนี้จำเลยก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า หลักฐานที่จำเลยมอบให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.11ไม่มีที่อยู่ของนายมนตราและบริษัทสยามวัฒนาวิศวก่อสร้างและโจทก์ได้แจ้งจำเลยว่าบริษัทดังกล่าวจดทะเบียนที่จังหวัดราชบุรีแต่นายมนตราไม่มีชื่อเป็นกรรมการโจทก์จะพยายามหาที่อยู่ต่อไปซึ่งแสดงว่าโจทก์ได้ดำเนินการตามที่จำเป็นในการที่จะฟ้องนายมนตรากับพวกแล้ว และที่ไม่สามารถฟ้องนายมนตรากับพวกนั้นมิใช่ความผิดของโจทก์ ดังนี้เมื่อปรากฏตามข้อนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยไม่นำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า ในเดือนกรกฎาคม 2530 จำเลยได้ตกลงให้คนอื่นดำเนินการเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ แทนโจทก์ จึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์จำเลยตกลงเลิกสัญญาจ้าง จำเลยจึงต้องชดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามควรค่าแห่งการที่โจทก์ได้ทำไปเพื่อฟ้องนายมนตรากับพวก ซึ่งได้แก่ค่าใช้จ่ายในการสืบหาข้อมูลของนายมนตรากับพวกดังได้กล่าวมาแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม
พิพากษายืน

Share