คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกทึ่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินนั้นเป็นของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดชั้นพิจารณาในวันสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว มีผุ้ร้องสอด ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยแต่เป็นของผู้รวมกับจำเลยในคดีนั้นด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องผู้ร้องสอดตั้งสิทธิของผู้ร้องสอดขึ้นมาเองโดยลำพัง ไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 57 (2) ศาลย่อมไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยรวมด้วยได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดในชั้นพิจารณา
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว นายเทน นางวงษ์ร้องสอดเข้ามาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นที่ดินของโจทก์และจำเลย เป็นที่ดินของผู้ร้อง ซึ่งได้ถือสิทธิครอบครองมาหลายปีแล้ว เพื่อความรับรองและคุ้มครองสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องๆจึงของเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีนี้
ศาลชั้นต้น สั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอด โดยเห็นว่ายังไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะร้องสอดเข้ามา
ผู้ร้องอุทธรณศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องสอดเพิ่งมายื่นคำร้องของเข้าเป็นจำเลยร่วใ เมื่อจำเลยยัดยื่นคำให้การแล้วประกอบทั้งข้อมูลที่ผู้ร้องจะต่อสู้คดี ก็เป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับฟ้องของโจทก์ ถ้าที่ดินเป็นของผู้ร้องๆย่อมมีสิทธิที่จะต้องร้องว่ากล่าวได้ตามกฎหมายอีกส่วนหนึ่งต่างหาก จึงพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้ออ้างในคำร้องผู้ร้องไม่ชอบที่จะขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามป.ม.วิ.แพ่งมาตรา
๕๗(๒) และตามมาตรา ๕๘ วรรค ๒ ผู้ร้องสอดจะใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่ตนเข้าชอบในชั้นพิจารณาเมื่อตนรองสอด
ทั้งต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของจำเลยด้วย ก็เมื่อคดีนี้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ อันไม่อาจยื่นคำให้การต่อสู้คดี และนำสืบพยานฝ่ายตนต่อไปแล้ว เช่นนี้ผู้ร้องสอดก็ย่อมหมดสิทธิที่กล่าวนี้ไปด้วย ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีนี้ เป็นการชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share