แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง (2) ไม่ได้กำหนดให้คู่ความที่โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องแสดงเหตุผลที่โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้แต่อย่างใด การที่จำเลยยื่นคำแถลงไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยระบุใจความว่า จำเลยขอโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาจึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาไว้แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,483,821 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 6,300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 12,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เห็นว่า ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 ฯลฯ (2) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ ฯลฯ ตามบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้คู่ความที่โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องแสดงเหตุผลที่โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้แต่อย่างใด ดังนั้น การที่จำเลยยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโดยระบุใจความว่า จำเลยขอโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของจำเลยเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา จึงเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นเกษียณสั่งคำแถลงฉบับนี้ว่า รวมเป็นคำแถลงเท่านั้น ย่อมเป็นการสั่งรับคำแถลงนั้น ส่วนที่ศาลชั้นต้นเกษียณสั่งต่อไปว่า “หากจะโต้แย้งคำสั่งศาลจะต้องมีเหตุผลที่อ้างว่าด้วยเหตุใดหรือเพราะอะไรจึงโต้แย้ง กรณีแถลงมาลอย ๆ มิใช่ใช้สิทธิโต้แย้ง” นั้น ก็เป็นเพียงความเห็นของศาลชั้นต้นเท่านั้น จึงต้องถือว่าจำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้วตามคำแถลงฉบับดังกล่าว ชอบที่จำเลยจะอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยถือว่าจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ก่อนจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาในปัญหานี้ เห็นว่าศาลชั้นต้นเคยอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีสืบพยานจำเลยในวันที่ 15 มีนาคม 2543 มาครั้งหนึ่งแล้วโดยได้กำชับให้จำเลยเตรียมพยานมาสืบให้ได้ในนัดหน้า มิฉะนั้น จะมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลย การที่ทนายจำเลยและพยานจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นได้กำชับไว้แล้วดังกล่าว จึงถือได้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 6,000 บาท แทนโจทก์.