คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4578/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่1ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การรับสารภาพว่าเกิดเมื่อวันที่10พฤศจิกายน2518มีอายุ19ปีและเมื่อฟ้องศาลจำเลยที่1ก็แจ้งต่อศาลว่าอายุ19ปีโจทก์และศาลชั้นต้นจึงเข้าใจว่าอายุ19ปีไม่ทำให้การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลเสียไปเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยที่1อายุ16ปีเศษศาลอุทธรณ์ต้องโอนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาพิพากษาไม่ใช่ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยทำเป็นธุรกิจการค้าร้านแผงลอยนำเทปและวัสดุโทรทัศน์ชนิดต่าง ๆ ที่มิได้ผ่านการตรวจและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายออกมาให้ประชาชนเช่าแลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือเสนอให้เช่า แลกเปลี่ยน และจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนกลาง และจำเลยทั้งสองได้มีแถบบันทึกภาพและเสียง(วีดีโอเทป) อันลามก จำนวน 450 ม้วน เพื่อประสงค์แห่งการค้าเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกและเพื่อแสดงอวดแก่ประชาชน โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287, 91, 33, 32และสั่งริบของกลาง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 4, 6, 34ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287, 91, 33, 32 เรียงกระทงลงโทษความผิดฐานประกอบกิจการเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ลงโทษจำคุกคนละ2 เดือน ฐานมีแถบบันทึกเสียและภาพลามกลงโทษจำคุกคนละ 4 เดือนรวมจำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกคนละ 3 เดือน ริบของกลาง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่อาจจะรู้ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 16 ปีเศษ เพราะจำเลยที่ 1 แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าเกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน 2518 มีอายุ 19 ปี ทั้งในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ก็แจ้งต่อศาลว่ามีอายุ 19 ปี กรณีความบกพร่องเรื่องอายุของจำเลยที่ 1 ผิดไปเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยที่ 1 เอง ซึ่งเมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ก็ต้องโอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางย่อมไม่ชอบนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ. 2534 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ปรากฏในภายหลังว่าข้อเท็จจริงในเรื่องอายุหรือการบรรลุนิติภาวะต้องการสมรสของบุคคลที่เกี่ยวข้องจะผิดไป หรือศาลอื่นใดได้รับพิจารณาพิพากษาคดี โดยไม่ต้องด้วยมาตรา 13 ซึ่งถ้าปรากฏเสียแต่ต้นจะเป็นเหตุให้ศาลนั้น ๆ ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาก็ตาม ข้อบกพร่องดังกล่าวไม่ทำให้การพิจารณาพิพากษาของศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาและศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวเสียไป” และวรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าข้อเท็จจริงตามวรรคหนึ่งปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณา ไม่ว่าในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ให้ศาลนั้น ๆ โอนคดีไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป” เห็นว่าตามสำเนาบันทึกคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา ฯลฯ เอกสารท้ายฎีกาว่า จำเลยที่ 1ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2518มีอายุ 19 ปี และเมื่อโจทก์นำตัวจำเลยที่ 1 มาฟ้องต่อศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ก็แจ้งต่อศาลว่ามีอายุ 19 ปี เช่นนี้ ทั้งโจทก์และศาลชั้นต้นก็ต้องเข้าใจว่า จำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปี ดังนั้นจึงไม่ทำให้การพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลชั้นต้นเสียไป และเมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 มีอายุ 16 ปีเศษ ปรากฏขึ้นในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ต้องโอนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาพิพากษา การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์ไปฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางย่อมไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ศาลอุทธรณ์โอนคดีไปให้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

Share