แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคดีที่โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยให้จำเลยใช้เงินตามเช็คโจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันมีผลทำให้สิทธิของโจทก์ร่วมที่จะเรียกให้จำเลยใช้เงินในมูลหนี้ตามเช็คเป็นอันระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์ร่วมคงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น ไม่ว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นให้โจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตามโจทก์ร่วมหามีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้เช็คอีกไม่ ดังนั้น หนี้ที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 7 ไม่ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือไม่ก็ตามสิทธิของโจทก์และโจทก์ร่วมในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39ศาลต้องจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยออกเช็คโดยมีเจตนามิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 และนับโทษจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2283/2537 ของศาลชั้นต้น
ระหว่างพิจารณาห้างหุ้นส่วนจำกัดโคราชเทเลคอมเซลส์แอนด์เซอร์วิส ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์และโจทก์ร่วมขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุกสำนวนละ 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกสำนวนละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2283/2537 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ระงับไปแล้ว จึงให้จำหน่ายคดีทั้งสองสำนวนออกเสียจากสารบบความ
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่ามูลหนี้ตามเช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ร่วมได้นำไปฟ้องจำเลยให้ชดใช้เงินตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1584/2537 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา ในที่สุดโจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมชำระเงินแก่โจทก์ร่วมตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 28 ตุลาคม 2537 ต่อมาจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมแล้วบางส่วน ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 20 ธันวาคม 2537 ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าคดียังไม่เลิกกันเพราะจำเลยยังไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ร่วมตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในคดีที่โจทก์ร่วมฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาเรียกให้จำเลยใช้เงินตามเช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนโจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันดังกล่าว ย่อมทำให้สิทธิของโจทก์ร่วมที่จะเรียกให้จำเลยใช้เงินในมูลหนี้ตามเช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนนั้นเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์ร่วมคงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้นไม่ว่าจำเลยจะชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นให้โจทก์ร่วมหรือไม่ก็ตาม โจทก์ร่วมหามีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้เช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนนั้นอีกไม่ ดังนั้น หนี้ที่จำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองสำนวนเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ไม่ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพหรือไม่ก็ตาม สิทธิของโจทก์และโจทก์ร่วมในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 จึงต้องจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน