คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4469/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ มีหน้าที่ตรวจผลเลือด ผลทางเคมีเพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยและทำการรักษาโรคแก่ผู้ป่วย หน้าที่ของโจทก์จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคแก่ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องอันจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การที่โจทก์ตรวจผลเลือดของผู้ป่วยไม่ถูกต้องจนต้องนำเอาเลือดผู้ป่วยไปตรวจใหม่และไม่เตรียมเลือดให้ผู้ป่วยในขณะที่เป็นเวรของโจทก์แต่กลับให้พยาบาลปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งต่อมาแพทย์สั่งให้โจทก์ตรวจหาผลเลือดทางเคมี 2 ชนิดโจทก์ก็ตรวจหาผลทางเคมีให้เพียงชนิดเดียวทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคไม่ครบถ้วนนั้น จึงเป็นการประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่อันเป็นความบกพร่องอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงของโรงพยาบาลจำเลยเป็นอย่างมาก จึงเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงและยังเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตอีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ มาตรา 119(3) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ ต่อมาจำเลยทำหนังสือเลิกจ้างโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ปฏิบัติงานในหน้าที่บกพร่อง ไม่อุทิศตัวให้กับงานในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทำให้เกิดผลเสียหายแก่จำเลย มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพและองค์กร ซึ่งไม่เป็นความจริงจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 16,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายเงินประกันการทำงานจำนวน 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จ่ายค่าจ้างจำนวน 16,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จและจ่ายค่าเสียหายจำนวน 129,600พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จและจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 97,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ปฏิบัติงานบกพร่องผิดพลาดในหน้าที่ ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหายอย่างร้ายแรง โจทก์มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในตำแหน่งหน้าที่การงาน และโจทก์กล่าวให้ร้ายผู้บริหารของจำเลยและเจ้าหน้าที่จำเลยไปในทางที่เสียหายไม่เป็นความจริง ทำให้จำเลยได้รับความเสื่อมเสียต่อการประกอบกิจการและเสียชื่อเสียง โจทก์ไม่อุทิศตัวให้แก่หน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม โจทก์ทำความเสียหายให้จำเลยอย่างร้ายแรงจำเลยมีสิทธิที่จะยึดเงินประกันการทำงานของโจทก์ได้ ค่าจ้างซึ่งจำเลยยังค้างชำระแก่โจทก์นั้นเนื่องจากมีข้อบกพร่องในการแก้ไขการเสียภาษีอากรของโจทก์และเจ้าหน้าที่ทุกคน จำเลยจึงระงับการจ่ายเงินของโจทก์ไว้ก่อน ซึ่งจำเลยจะจ่ายให้ภายหลังเมื่อทำการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 18,360 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 22พฤศจิกายน 2543) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระเงินประกันการทำงานจำนวน4,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระค่าจ้างจำนวน 14,580 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ชำระค่าชดเชยจำนวน 129,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเสียก่อนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์นั้น ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์(วิทยาศาสตร์การแพทย์) มีหน้าที่ตรวจผลเลือด ผลทางเคมี อุจจาระ และปัสสาวะ เพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยและรักษาโรคต่อไป เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2543 แพทย์สั่งให้พยาบาลเจาะเลือดผู้ป่วยแล้วนำไปให้โจทก์ตรวจการทำหน้าที่ของไตแต่เมื่อแพทย์ได้รับผลการตรวจเลือดจากโจทก์แล้วเห็นว่าผลการตรวจเลือดไม่สอดคล้องกับอาการของผู้ป่วย โดยผลของการตรวจเลือดเป็นอาการของคนปกติธรรมดาซึ่งผู้ป่วยโรคไตไม่น่าจะมีผลเลือดเช่นนั้นเมื่อแพทย์สั่งให้โจทก์ตรวจเลือดผู้ป่วยรายนี้อีกครั้ง ผลการตรวจเลือดในครั้งที่สองซึ่งเป็นผลการตรวจที่ถูกต้อง ได้ผลเลือดมีค่าแตกต่างจากที่ตรวจในครั้งแรกมากและในวันที่ 20มิถุนายน 2543 เวลา 22.20 นาฬิกา เป็นเวรของโจทก์ที่จะต้องเตรียมเลือดให้ผู้ป่วยแต่โจทก์ไม่ไปปฏิบัติงานตามหน้าที่อ้างว่าสั่งให้พยาบาลปฏิบัติหน้าที่แทน นอกจากนี้ในวันที่ 27 กันยายน 2543 แพทย์สั่งให้โจทก์ตรวจหาผลเลือดทางเคมี 2 ชนิด แต่โจทก์ตรวจหาผลทางเคมีให้เพียงชนิดเดียว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วนจึงต้องสั่งให้โจทก์ตรวจหาค่าทางเคมีที่ยังไม่ได้ตรวจอีกชนิดหนึ่ง เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ (วิทยาศาสตร์การแพทย์) มีหน้าที่ในการตรวจผลเลือด ผลทางเคมี อุจจาระและปัสสาวะ เพื่อส่งให้แพทย์วินิจฉัยและทำการรักษาโรคแก่ผู้ป่วยต่อไป หน้าที่ของโจทก์จึงเป็นหน้าที่อันสำคัญที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคแก่ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้อง อันจะส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่ อันเป็นความบกพร่องอย่างยิ่ง จำเลยประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนความถูกต้องรวดเร็วในการวินิจฉัยและการรักษาโรค รวมทั้งความปลอดภัยของผู้ป่วย จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการที่จะได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากผู้ป่วยหรือผู้ที่จะนำผู้ป่วยเข้ามารับการรักษา หากการวินิจฉัยและการรักษาโรคของโรงพยาบาลจำเลยมีแต่ความผิดพลาดบกพร่อง ล่าช้า ซึ่งมีผลให้ผู้ป่วยต้องเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตหรือสุขภาพแล้วก็ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามารับการรักษาหรือนำผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลจำเลยอย่างแน่นอน ดังนั้น การที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบในหน้าที่ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วน ล่าช้า ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วย อันมีผลกระทบถึงชื่อเสียงของโรงพยาบาลจำเลยเป็นอย่างมากดังกล่าวแล้ว จึงเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง และยังถือว่าเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตอีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(3) และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น

ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์นั้น เห็นว่าการพิจารณาว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมอันเป็นเหตุให้นายจ้างต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 หรือไม่ ต้องพิจารณาว่ามีเหตุอันสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งเหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากการกระทำของลูกจ้างหรือเหตุอื่นที่มิใช่การกระทำความผิดของลูกจ้างเลยก็ได้แต่เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าการกระทำของโจทก์อันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์นั้นเป็นเหตุให้จำเลยเสียชื่อเสียงในการประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเป็นอย่างมาก และเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจึงนับว่ามีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ มิใช่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าเสียหาย คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางในส่วนนี้ชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share