แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาของโจทก์ ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินซึ่งเป็นสินบริคณห์ให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์และโจทก์ได้บอกล้างแล้วขอให้ศาลแสดงว่านิติกรรมเป็นโมฆะจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นภรรยาของโจทก์และมีอำนาจทำนิติกรรมนั้นได้ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนโอนที่ดินอันเป็นสินบริคณห์ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้เอาที่ดินนั้นไปจำนองต่อบุคคลที่สาม โจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว ขอให้ศาลแสดงว่านิติกรรมดังกล่าวและการจำนองเป็นโมฆะ
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 มิได้เป็นภรรยาของโจทก์จึงมีสิทธิจัดการทรัพย์สินของตนเองได้ และต่อสู้ประการอื่น ๆ อีก
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้เรียกค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินคือ 500,000 บาท แล้วต่อมาได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์ที่ไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เองได้ให้การไว้ว่าที่ดินพิพาทมีราคา 500,000 บาท เพิ่งมาเกี่ยงเมื่อจำเลยแพ้คดีแล้ว คือในชั้นอุทธรณ์และฎีกานี้ และคดีอย่างนี้เป็นคดีพิพาทด้วยทรัพย์ ซึ่งกำหนดราคาเป็นเงินได้ ไม่ใช่คดีไม่มีทุนทรัพย์
พิพากษายืน