คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4369/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองร่วมกันเช่านาของนายบ. ต่อมาผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่านาในการนี้ผู้ให้เช่าจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เช่าทุกคนไร่ละ1,000บาทรวมเป็นเงิน69,000บาทและผู้ให้เช่ายกที่นาที่ให้เช่าบางส่วนเนื้อที่200ตารางวาให้แก่ผู้เช่าคนละ50ตารางวาจำเลยทั้งสองได้รับค่าทดแทนไปทั้งหมดและรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่200ตารางวาเป็นชื่อจำเลยที่2คนเดียวโดยโจทก์ทั้งสองไม่รู้เห็นเมื่อโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องจึงขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ชัดแล้วว่าโจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินที่ให้เช่ามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนแต่จำเลยทั้งสองรับไว้แล้วไม่ยอมแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสองเองไม่ใช่เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมการที่โจทก์ทั้งสองเสนอข้อพิพาทให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาวินิจฉัยและศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายก็หามีผลให้สิทธิของโจทก์ทั้งสองที่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้แบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวเสียไปไม่และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ให้เช่านาได้จ่ายเงินค่าทดแทนและมอบที่ดินให้แก่ผู้เช่านาคือโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองรับเงินค่าทดแทนไว้แล้วและได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ในชื่อของจำเลยที่2ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปยื่นคำร้องต่อสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขามีนบุรี เพื่อให้โจทก์ทั้งสองเข้าชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมคนละ 50 ตารางวา ในที่ดินโฉนดเลขที่ 52801ตำบลลำปลาทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) กรุงเทพมหานครและให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์แต่ละส่วนของโจทก์ทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทภายใน 30 วัน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง ในกรณีที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองไม่อาจตกลงในการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นสัดส่วนได้ก็ขอให้นำที่ดินพิพาทออกประมูลขายในระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสอง และให้นำเงินที่ได้จากการประมูลทั้งหมดมาแบ่งกันเองตามส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่าที่นาที่ได้รับจากผู้ให้เช่าให้แก่โจทก์ทั้งสองครึ่งหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 34,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากไม่ได้เป็นผู้เช่านาและไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพราะต่างอยู่ในฐานะผู้เช่านาด้วยกันจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินเนื้อที่ 200 ตารางวา จากนางบุญลือดิษาภิรมย์ เป็นเงิน 225,000 บาท มิใช่เป็นการยกให้แต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 52801ตำบลลำปลาทิว อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) กรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 50 ตารางวา ภายใน 30 วัน หากจำเลยที่ 2ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา หากโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ไม่อาจตกลงแบ่งแยกที่ดินเป็นส่วนสัดได้ ให้นำที่ดินทั้งแปลงออกประมูลขายในระหว่างกันเอง หากประมูลขายระหว่างกันเองไม่ได้ ให้นำออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนการเลิกสัญญาเช่าที่นาที่ได้รับจากนางบุญลือ ดิษาภิรมย์ ให้แก่โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ศาลฎีกามีคำสั่งรับไว้วินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองนำคดีมาฟ้องโดยอาศัยสิทธิจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแขวงลำปลาทิว และเพื่อให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าวที่โจทก์ทั้งสองได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องและให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้อง โดยประเด็นดังกล่าวเป็นสาระสำคัญแห่งคดีเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องเมื่อฟังว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแขวงลำปลาทิวไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสอง จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 นั้นพิเคราะห์แล้ว ปรากฏตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองร่วมกันเช่านาของนางบุญลือ ดิษาภิรมย์ต่อมาผู้ให้เช่าบอกเลิกการเช่านา ในการนี้ผู้ให้เช่าจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เช่าทุกคนไร่ละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 39,000 บาทและผู้ให้เช่ายกที่นาที่ให้เช่าบางส่วน เนื้อที่ 200 ตารางวาให้แก่ผู้เช่าคนละ 50 ตารางวา จำเลยทั้งสองได้รับค่าทดแทนไปทั้งหมดและรับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่ 200 ตารางวาเป็นชื่อจำเลยที่ 2 คนเดียว โดยโจทก์ทั้งสองไม่รู้เห็นเมื่อโจทก์ทั้งสองทราบเรื่องจึงขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธ คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเห็นได้ชัดแล้วว่า โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินที่ให้เช่านามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินที่ให้เช่านามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองตามส่วน แต่จำเลยทั้งสองรับไว้แล้วไม่ยอมแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ทั้งสองเอง ไม่ใช่เป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแขวงลำปลาทิวการที่โจทก์ทั้งสองเสนอข้อพิพาทให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็หามีผลให้สิทธิของโจทก์ทั้งสองทีมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้แบ่งเงินค่าทดแทนและที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องอาศัยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวเสียไปไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ให้เช่านาได้จ่ายเงินค่าทดแทนและมอบที่ดินให้แก่ผู้เช่านาคือโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองรับเงินค่าทดแทนไว้แล้วและได้รับจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไว้ในชื่อของจำเลยที่ 2 ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งเงินค่าทดแทนและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสองได้ หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share