คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องหาว่าจำเลยสมคบกันเป็นตัวการลงมือฆ่าเขาตาย แต่ทางพิจรณาได้ความว่าจำเลยได้คบคิดกันแล้วมอบปืนให้อีกคนหนึ่งไปยิงเขา โดยตนเองไม่ได้ไปด้วย ดังนี้ จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงในข้อที่ว่าได้ลงมือทำเองหรือเป็นแต่ผู้ใช้นั้นเป็นข้อสำคัญที่ต่างกันมาก โดยวันเวลาและสถานที่ล้านต่างกันทั้งนั้น
แต่การที่มอบปืนให้คนอื่นไปยิงเขาตายนั้น เป็นการอุปการะแก่การกระทำผิด ถือว่าสมรู้ตามมาตรา 65 และศาลลงโทษฐานสมรู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๓ สมคบกันใช้ปืนยิง นายเอก นายขัน โดยจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ใช้ มอบอาวุธปืนให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ – ๒ เป็นผู้ไปยิงนายเอกตาย ขอให้ลงโทษฐานฆ่าคนตาย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ ๑ – ๒ ตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๓ ตายระหว่างพิจารณา คดีเป็นอันระงับไปฉะเพาะจำเลยที่ ๓
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ – ๒ – ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีฉะเพาะจำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ไปยิงด้วย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าได้มีการคบคิดกัน แล้วมอบปืนให้จำเลยที่ ๑ ไปยิง ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ไปยังที่เกิดเหตุด้วย ดังนี้ จะลงโทษจำเลยที่ ๒ ฐานเป็นผู้ใช้ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงในข้อที่ว่า ได้ลงมือทำเองหรือเป็นแต่ผู้ใช้ นั้น เป็นข้อสำคัญที่ต่างกันมาก โดยวันเวลา และสถานที่ ล้วนต่างกันทั้งนั้น
แต่คดีนี้ปรากฏว่า เมื่อได้ร่วมคิดกันแล้ว จำเลยที่ ๒ ได้มอบปืนแก่จำเลยที่ ๑ มาใช้ยิง ซึ่งเป็นการอุปการะแก่การกระทำผิดตามมาตรา ๖๕ ฐานสมรู้ แม้โจทก์จะฟ้องเป็นตัวการก็ย่อมลงโทษฐานสมรู้ได้ จึงพิพากษาแก้ฉะเพาะจำเลยที่ ๒ ว่าผิดเพียงผู้สมรู้ นอกจากนี้ยืน

Share