คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4300/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยนำเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ดังกล่าวมารวมกับเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย โดยที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จึงไม่ถูกต้องและถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด เท่านั้น ปัญหานี้แม้โจทก์และจำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบของกลาง เว้นธนบัตรล่อซื้อ 10,000 บาท ให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุกคนละ 4 ปี รวมจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 5 ปี 4 เดือน ริบของกลาง เว้นธนบัตรล่อซื้อ 10,000 บาท คืนแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ให้ลงโทษปรับ 20,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขออื่นของโจทก์ ไม่ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อโนเกีย หมายเลข 0 9486 2514 ของกลางที่ยึดจากจำเลยที่ 2 และให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ที่หน้าศักดิ์ชายแมนชั่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ธนบัตรที่ใช่ล่อซื้อ 10,000 บาท และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง จากจำเลยที่ 1 หลังจากนั้น จำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยที่ 2 ที่ร้านจ๊ะเอ๋คาราโอเกะพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง จากจำเลยที่ 2 โดยแจ้งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 25 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ที่จำเลยที่ 2 มีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยนำเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ดังกล่าว มารวมกับเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จึงไม่ถูกต้องและต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด เท่านั้น ซึ่งเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้แม้โจทก์และจำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี จึงพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 สำหรับโทษของจำเลยที่ 1 นั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษในอัตราขั้นต่ำของกฎหมายแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานมีเมทแอมเฟตามีน 5 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน และ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน อีกสถานหนึ่ง เมื่อรวมกับโทษปรับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน กับให้จำเลยที่ 2 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 2 เห็นสมควร โดยมีกำหนดระยะเวลา 12 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาที่คุมความประพฤติ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share