คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญา ครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระบริษัท ว. และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท ว. เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้น โจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย. ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัท ว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริง เพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลยโจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระ ข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้น การมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าว จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลงโดยให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระบริษัท ว. โจทก์ได้ชำระเงินดังกล่าวให้บริษัท ว. เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญา จำเลยสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน ๑ ปี นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงในสัญญาว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะนำที่ดินนี้ไปขายให้แก่ผู้อื่นได้โดยต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งคนละครึ่ง ปรากฏว่าจำเลยนำที่ดินไปขายฝากแก่ผู้มีชื่อและมิได้ไถ่การขายฝากจนหมดสิทธิไถ่คืน จำเลยจึงต้องแบ่งเงินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า ในวันทำสัญญาโจทก์ไม่ได้ชำระเงินให้แก่จำเลย โจทก์ขอผัดจะชำระภายหลัง แต่โจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมชำระ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และตามสัญญามีข้อตกลงว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะนำที่ดินไปขายให้แก่ผู้อื่นได้แล้วนำเงินส่วนที่เกินมาแบ่งคนละครึ่งจึงเป็นสัญญาหุ้นส่วน สัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความว่าจำเลยยอมตกลงให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระ โจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม บริษัท ย. กับจำเลยเป็นบุคคลต่างหากจากกัน โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าบริษัท ย. เป็นหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์เป็นจำนวนเท่าใด และหนี้ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากมูลเหตุฟ้องเดิมและจำเลยกับบริษัท ย. เป็นบุคคลต่างหากจากกัน ทั้งไม่ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่าเป็นหนี้ค่ารถยนต์จำนวนเท่าใด จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าเดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายแบ่งขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ได้ยื่นคำร้องในวันนัดชี้สองสถานขอแก้ไขเพิ่มเติมข้อความเดิมว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย. ค้างชำระบริษัท ว. และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัท ว. เรียบร้อยแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้เป็นแต่เพียงอธิบายความที่กล่าวว่า จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้น โจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย. ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัท ว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลย โจทก์ก็มีสิทธิที่จะทำได้ และคดีนี้ไม่ใช่เรื่องฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระ ข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใดจึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำต้องกล่าวมาในฟ้อง ฟ้องโจทก์จึงมิใช่ฟ้องเคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๗๒ แล้วนั้น เห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน ๑ ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้ โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้น การมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ เมื่อกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าว จึงมีอายุความสิบปีตามมาตรา ๑๖๔
พิพากษายืน

Share