แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ได้ภาระจำยอมโดยอายุความ ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำการประมงและบรรทุกปลาจากท่าเทียบเรือและจากโรงดองเค็มจากที่ดินของโจทก์ผ่านทางพิพาท ซึ่งอยู่ในที่ดินจำเลยเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลา 5 ปีก็เลิกแล้วให้นาง บ. เช่าโรงดองเค็มนาง บ. ขนปลาจากท่าเทียบเรือและโรงดองเค็มดังกล่าวผ่านทางพิพาทไปสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลา 8 ปีก็เลิกเช่าแต่ก็ยังใช้ท่าเทียบเรือและเดินผ่านทางพิพาทอยู่ การเดินผ่านทางพิพาทดังกล่าวทั้งโจทก์และนาง บ. ไม่ได้ขออนุญาตผู้ใดและโดยที่จำเลยกับเจ้าของที่ดินเดิมที่จำเลยซื้อมาไม่เคยห้ามปรามนับแต่โจทก์และนาง บ.ใช้ทางพิพาทมาเป็นเวลา 13 ปีแล้วทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ภาระจำยอมในทางพิพาท โดยอายุความจำเลยเทปูนทำเป็นทางเข้าบนทางพิพาทและทำกันสาดยื่นล้ำคลุมทางเท้าดังกล่าวเป็นการปิดกั้นกีดขวางทางพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์และประชาชนเดือดร้อนไม่อาจใช้ทางดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยรื้อปูนที่เททำทางเท้าออก ทำทางดังกล่าวให้เรียบร้อยใช้เป็นทางได้เช่นเดิมให้จำเลยรื้อถอนหลังคากันสาดกับสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้างทางดังกล่าวออกไป ห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยให้การว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และทางพิพาทไม่ตกเป็นภารจำยอมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อปูนที่เททำทางเท้าออกไปจากทางพิพาททำทางพิพาทให้เรียบร้อย ใช้เป็นทางได้เช่นเดิมและให้จำเลยรื้อถอนหลังคากันสาดกับสิ่งปลูกสร้างเฉพาะที่รุกล้ำทางพิพาทออกไป ห้ามจำเลยขัดขวางการใช้ทางพิพาทอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ และโจทก์ได้ภาระจำยอมทางพิพาทโดยอายุความหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นางบังอร เจตสิกทัตผู้เคยเช่าโรงดองเค็มในที่ดินโจทก์ นายทองสุข แก้วสีเหลือง นายไซ ประสงค์วัฒนา นายเถา สังขโยค นายบ่าย ธรรมเนียม ผู้เคยขับรถยนต์บรรทุกรับจ้างเข้าไปในทางพิพาทนายบุญส่ง ขอนทอง ผู้ขายที่ดินริมแม่น้ำปราณบุรีที่อยู่ติดกับที่ดินจำเลยให้บุคคลอื่นและนายถวิล รัตนจินดา อดีตกรรมการสุขาภิบาลตำบลปากน้ำปราณมาเบิกความฟังได้สอดคล้องต้องกันว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เจ้าของที่ดินริมแม่น้ำปราณบุรีระหว่างซอยสุขาภิบาล ๒ ถึงซอยสุขาภิบาล ๓ ถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง เจ้าของที่ดินดังกล่าว จึงได้สละที่ดินริมแม่น้ำให้เป็นทางกว้าง ๒ วา ตลอดริมแม่น้ำใช้เป็นทางสัญจรไปมาระหว่างซอยสุขาภิบาล ๒ ถึงซอยสุขาภิบาล ๓ เมื่อ ๒๐ ปีมานี้ มารดาโจทก์ได้ยกที่ดินซึ่งอยู่ติดกับจำเลยให้แก่โจทก์ โจทก์มีอาชีพทำประมง โจทก์ได้ทำสะพานริมแม่น้ำของที่ดินโจทก์เพื่อให้เรือปลามาจอดเอาปลาขึ้นมาบนที่ดินโจทก์ แล้วโจทก์คัดปลาบางส่วนใส่รถยนต์บรรทุกที่เข้ามาในทางพิพาทส่งขายกรุงเทพ ปลาบางส่วนใช้ดองเค็ม โจทก์ทำอาชีพดังกล่าวอยู่ ๕ ปีก็เลิก แล้วให้นางบังอร เจตสิกทัต เช่าโรงดองเค็มทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ติดที่ดินจำเลย นางบังอรใช้ทางพิพาทนำปลาสดและปลาดองเค็มส่งไปขานในกรุงเทพอยู่ได้ ๘ ปี จึงเลิกกิจการ ระหว่างโจทก์ นางบังอร และนายบ่าย ธรรมเนียม คนขับรถยนต์บรรทุกรับจ้างขนปลา นำรถยนต์บรรทุกปลาเข้าออกทางพิพาทไม่เคยต้องขออนุญาตจำเลยและจำเลยก็ไม่เคยหวงห้ามและระหว่างที่ดินยังเป็นของนายถนอม นายถนอมก็ไม่เคยหวงห้ามเช่นกัน โจทก์และพยานโจทก์ต่างใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาระหว่างซอยสุขาภิบาล ๒ และซอยสุขาภิบาล ๓ มาเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ฝ่ายนายเรืองฤทธิ์ เสรีภาพสากล สามีจำเลย นางพร้อมสมบัติมานะผล มารดาจำเลยและนายถนอม เฟื่องสุวรรณ เจ้าของที่ดินคนเดิมของที่ดินจำเลยเบิกความว่า โจทก์และนางบังอรกับพวกชาวเรือประมงเคยใช้ทางพิพาทผ่านบ้านจำเลย โดยขออนุญาตจำเลยหรือนายถนอมก่อน บางคนก็ใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะสำหรับนายวิจิตร เทียมเพชร กำนันตำบลปากน้ำปราณและนายเบิ้ม แจ่มแจ้งลูกจ้างนายถนอมพยานจำเลยเบิกความว่า นางบังอรและโจทก์ได้ใช้รถยนต์ปิคอัพขนปลาจากที่ดินโจกท์ ผ่านทางพิพาทสู่ถนนสุขาภิบาล ๓ นายวิจิตรว่าที่ดินหน้าบ้านของบิดานายวิจิตร ซึ่งอยู่ริมน้ำก็เว้นที่ดินหน้าบ้านไว้เป็นทางเดินติดต่อกันไปถึงสุขาภิบาลซอย ๓ นายเล้ง นายถนอมและโจทก์ก็เว้นที่ดินไว้เป็นทางเดิน แต่ต่อมาที่ดินของโจทก์และของนางหรุ่มซึ่งเว้นไว้ถูกน้ำซัดเป็นคุ้ง พยานเคยเป็นกรรมการสอบเกี่ยวกับทางพิพาทได้สอบถามบุคคลทั่วไปที่ใช้ทางพิพาทได้ความว่า ทางพิพาทเป็นทางส่วนบุคคล จึงทำบันทึกไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๒ แต่พยานไม่ได้บันทึกปากคำบุคคลเหล่านั้นไว้สำหรับนายไชยพร สำเภาเงิน นายอำเภอปราณบุรีเบิกความว่า โจทก์เคยร้องเรียนต่อทางอำเภอว่าจำเลยปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะ พยานจึงตั้งกรรมการไปสอบสวนผลปรากฏว่า ทางพิพาทเป็นทางส่วนบุคคล พิเคราะห์คำเบิกความของนายวิจิตรและนายเบิ้มพยานจำเลยแล้วเห็นว่า เบิกความเจือสมพยานโจทก์ที่ว่าโจทก์และนางบังอรใช้ทางพิพาทนำปลาจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินพิพาทมาสู่ถนนสุขาภิบาล ๓ และเจ้าของที่ดินริมแม่น้ำปราณบุรี ได้เว้นที่ดินริมน้ำเพื่อเป็นทางเดินติดต่อกัน เมื่อได้ชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย แม้โจทก์จะเคยร้องเรียนว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางพิพาทจะมีความเห็นว่า เป็นทางส่วนบุคคลแต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงที่ฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์กับนางบังอรได้ใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโจทก์รวมกันมา ๑๓ ปี โดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ใดและโดยที่จำเลยและนายถนิมเจ้าของที่ดินคนเดิมไม่เคยห้ามปราม ทางพิพาทจึงตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ตามกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำทางพิพาทและห้ามจำเลยมิให้กีดขวางทางพิพาทจึงชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน