คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เพียงแต่จำเลยแสดงกิริยาวาจาต่อผู้เสียหายว่า ‘พี่ณรงค์เรามาจับมือประกาศเป็นศัตรูกันตั้งแต่วันนี้ไปจนตลอดชีวิต ‘พร้อมกับยื่นมือไปขอจับด้วยดังนี้ เป็นแต่เพียงจำเลยประกาศตัวเป็นศัตรูคือเลิกความเป็นมิตร ยังเรียกไม่ได้ว่าแสดงอาฆาตมาดร้าย
ผู้เสียหายเป็นนายกเทศมนตรีเกี่ยวกับทางหลวงผู้เสียหายคงมีหน้าที่ระวังไม่ให้รุกล้ำถนนหลวงและคูเมืองเท่านั้นเมื่อส่งคนงานไปวัดที่ดินของผู้อื่นอันเป็นเหตุให้จำเลยโกรธกล่าวคำหมิ่นประมาท ดังนี้จำเลยหามีความผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานไม่เพราะที่ผู้เสียหายสั่งไปนั้นเป็นการนอกอำนาจและหน้าที่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิด กฎหมาย หลายบทหลายกระทงคือบุกรุกขึ้นไปบนเคหะสถานของโจทก์ แสดงกิริยาอาฆาตมาดร้ายและหมิ่นประมาทโจทก์ ขอให้ลงโทษและขอให้ศาลห้ามมิให้จำเลยเข้าไปภายในเขตที่โจทก์อาศัยอยู่และที่ใกล้เคียง

ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีมีมูล

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 339ให้ปรับเป็นเงิน 50 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีก 20 บาท

โจทก์จำเลยอุทธรณ์โดยโจทก์คัดค้านว่า 1. การที่จำเลยกล่าวความเป็นศัตรูต่อโจทก์ประกอบกับเคยด่าโจทก์ว่า “อ้ายเหี้ย”ทั้งเคยท้าโจทก์ต่อยบนศาล จำเลยต้องมีความผิดฐานแสดงความอาฆาตมาดร้ายตาม กฎหมายอาญา มาตรา 30 และ (2) การที่จำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ได้กระทำการตามหน้าที่ต้องมีความผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน ส่วนจำเลยคัดค้านข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายเช่นเดียวกับในชั้นอุทธรณ์

ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงจำเลยประกาศตัวเป็นศัตรูคือเลิกความเป็นมิตรกันต่อไปการที่จำเลยแสดงกริยาวาจาเช่นนั้นยังไม่ได้ความว่าจำเลยได้แสดงความอาฆาตมาดร้ายว่าจะทำร้ายโจทก์ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 30 ส่วนข้อ 2 นั้นแม้โจทก์มีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีมีหน้าที่คอยดูแลไม่ให้ผู้ใดรุกล้ำถนนหลวงและคูเมือง แต่โจทก์ก็หามีอำนาจที่จะสั่งคนงานเทศบาลไปวัดที่ดินของนางสัมฤทธิที่ประกาศขายให้จำเลยโดยพละการไม่ คงมีหน้าที่ระวังไม่ให้รุกล้ำถนนหลวงและคูเมืองเท่านั้น ที่โจทก์กระทำไปจึงเป็นการนอกอำนาจและหน้าที่จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงาน

ให้ยกฎีกาโจทก์ โดยพิพากษายืน

Share