แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกจำเลยให้การต่อสู้ว่าการจดทะเบียนสมรสของโจทก์กับเจ้ามรดกเป็นไปโดยทุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความ ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความยอมรับข้อเท็จจริงกันว่า ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาเพิกถอนการสมรสดังกล่าวไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงยังไม่ยุติ ซึ่งหากข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตแล้ว โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์กับเจ้ามรดกสมรสกันโดยไม่สุจริต ก็ไม่ปรากฏการวินิจฉัยของศาลฎีกาในข้อนี้แต่อย่างใด ทั้งยังมีประเด็นเรื่องอายุความอีกด้วย ดังนี้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานกับพิพากษาคดีไป และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงเป็นการไม่ชอบและเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไกระหว่างอยู่กินกัน นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้โอนขายและโอนที่ดินหลายโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่ความตาย ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนการโอนทั้งหมด ทรัพย์ทั้งหมดจึงตกเป็นมรดกของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก โจทก์ในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นทายาทมีสิทธิรับส่วนแบ่งมรดก ขอให้จำเลยจัดการแบ่งมรดกให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าโจทก์กับนาวาเอกหลวงพินิจกลไกสมคบกันกระทำการทุจริตไปจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งความเท็จว่า นาวาเอกหลวงพินิจกลไกไม่มีคู่สมรสต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2527 วินิจฉัยว่า การจดทะเบียนสมรสของโจทก์เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ใช่ทายาท ไม่มีสิทธิรับมรดก ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า นาวาเอกหลวงพินิจกลไกได้โอนที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ก่อนนาวาเอกหลวงพินิจกลไกถึงแก่ความตายจริง จำเลยเคยฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างนาวาเอกหลวงพินิจกลไกกับโจทก์และให้เพิกถอนการสมรสระหว่างคนทั้งสองด้วย คดีดังกล่าวถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนและเพิกถอนการสมรสศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถาน และวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนาวาเอกหลวงพินิจกลไก จึงไม่ใช่ทายาทและไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าโจทก์เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกนาวาเอกหลวงพินิจกลไกตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกในฐานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกจำเลยให้การต่อสู้ว่าการจดทะเบียนสมรสของโจทก์กับเจ้ามรดกเป็นไปโดยทุจริตและคดีของโจทก์ขาดอายุความ ในวันนัดชี้สองสถานคู่ความยอมรับกันว่า การสมรสดังกล่าวถูกศาลพิพากษาเพิกถอนไปแล้วแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 บัญญัติว่าเหตุที่การสมรสเป็นโมฆะไม่เป็นผลให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสนั้น เช่นนี้ หากฟังได้ว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดก แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่ยุติ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำพิพากษาฎีกาที่566/2527 เท่ากับศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และนาวาเอกหลวงพินิจกลไกสมรสกันโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 นั้นก็ไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่าโจทก์ทำการสมรสโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสโดยสุจริตหรือไม่ยังไม่ยุติทั้งยังมีประเด็นเรื่องอายุความฟ้องร้องอีกด้วย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดชี้สองสถานกับพิพากษาคดีไปและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงเป็นการไม่ชอบ และเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา มีเหตุสมควรที่จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี