แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาในข้อหาร่วมกันบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาท และทำให้เสียทรัพย์โดยตัดฟันต้นสนของโจทก์ที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง คดีถึงที่สุดแล้ว ส่วนคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทโดยตรงเป็นประเด็นเดียวกันว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในการพิพากษาคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท ต้นสนที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของต้นสนด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองร่วมกันตัดฟันต้นสนของโจทก์เสียหาย จึงต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 12294 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ (นายาง) จังหวัดเพชรบุรี และใช้สิทธิครอบครองที่ดินด้านทิศตะวันออกของโฉนดที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 1 งาน 64.8 ตารางวาโดยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ด้วยการปลูกต้นสนไว้เต็มพื้นที่ ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2540 และวันที่ 1 ธันวาคม 2540 จำเลยทั้งสองร่วมกันตัดฟันต้นสนที่โจทก์ปลูกไว้ดังกล่าวเสียหาย 3 ต้น เป็นเงิน 3,000 บาทและระหว่างวันเวลาดังกล่าวข้างต้นจนถึงปัจจุบันจำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านเนื้อที่ประมาณ 77.5 ตารางวา ในที่ดินป่าสวนสนที่โจทก์ครอบครองอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์อาจนำที่ดินนั้นให้เช่าหรือทำประโยชน์ได้ค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันกระทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน รวมเป็นเงิน 24,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดและออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน 27,000 บาท และเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารพร้อมทั้งทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมานานกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทและต้นสน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีรายละเอียดพอที่ให้จำเลยทั้งสองเข้าใจได้ว่าโจทก์ครอบครองในฐานะใด ต้นสนมีราคาต้นละไม่เกิน 100บาท ส่วนค่าขาดประโยชน์ในที่ดินก็ไม่เกินเดือนละ 300 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 7,500 บาท และอีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 26มกราคม 2541) จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12294 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ (นายาง) จังหวัดเพชรบุรี ตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.3 ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 77.5 ตารางวา อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินดังกล่าวและเป็นที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่เห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในข้อหาร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทโดยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำให้เสียทรัพย์โดยใช้มีดตัดฟันต้นสน 3 ต้น ของโจทก์ที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2799/2540 หมายเลขแดงที่ 3565/2542 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงมาต้องกันว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทและพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทโดยตรงเป็นประเด็นเดียวกันว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในการพิพากษาคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลฎีกาไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ต้นสนที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดิน โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของต้นสนด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน