คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญากู้ระบุว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารโจทก์ในจำนวนเงินที่เป็นหนี้ในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี โดยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารโจทก์ทุกๆ 3 เดือน นับแต่วันทำหนังสือสัญญานี้เป็นต้นไป สำหรับต้นเงินกู้นั้นจะผ่อนชำระให้ธนาคารโจทก์เป็นงวดๆ โดยชำระ 3 เดือนต่อครั้ง ตามตารางชำระเงินต้นแนบท้ายสัญญากู้ หากผู้กู้ผิดนัดไม่ส่งชำระต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าว ผู้กู้ย่อมเสียเบี้ยปรับให้แก่ธนาคารโจทก์อีกในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี ในจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่คงค้างทั้งหมดนับแต่วันละเมิดสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จสิ้น ดังนี้เห็นได้ว่าสัญญากู้รายนี้ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 9 ต่อปีอยู่แล้ว การที่ได้กำหนดเบี้ยปรับในกรณีผู้กู้ผิดนัดไว้ว่าให้ผู้กู้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 6 ของจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างทั้งหมดรวมกัน ย่อมเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน สมควรลดลงเป็นให้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ6 รวมเป็นร้อยละ 15 ต่อปีโดยไม่ทบต้น โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองพร้อมด้วยดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ จำเลยที่ 3 ผู้เดียวอุทธรณ์ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนและลดให้ แม้จำเลยที่1 ที่ 2 ที่ 4 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ย่อมได้รับผลอันเป็นคุณจากข้อวินิจฉัยส่วนนี้ด้วย เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาคู่กู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเบี้ยปรับและค่าวิเคราะห์โครงการรวมเป็นเงิน 635,950.88 บาท และเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์อีก 146,098.31 บาท รวมหนี้ 2 ประเภทเป็นเงิน 781,749.19 บาทปรากฏหลักฐานตามเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไว้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ยังได้นำที่ดินมาจำนองไว้เป็นประกันหนี้อีกด้วยโจทก์ได้บอกกล่าวทางถามบังคับจำนองแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองตามจำนวนข้างต้นพร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ

จำเลยทั้งหมดให้การต่อสู้คดี

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง 781,749.19 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปีในต้นเงิน 490,000 บาท และเบี้ยปรับอีกร้อยละ 6 ต่อปีในต้นเงิน 585,056.17 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 146,039.59 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 3 ค้ำประกันเฉพาะหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 1 เท่านั้นมิได้ค้ำประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเฉพาะหนี้เงินกู้จำนวนเงิน 635,950.48 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปีในต้นเงิน 490,000 บาท และเบี้ยปรับอีกร้อยละ 6 ต่อปีในต้นเงิน 585,056.17 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจะยึดทรัพย์จำนองหรือทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ก็ให้บังคับเอาชำระหนี้เพียงจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าหนังสือสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.5 มีข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 9 ต่อปีแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอีกร้อยละ 6 ต่อปีของต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระ เพราะเป็นการคิดดอกเบี้ยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าหนังสือสัญญากู้รายพิพาทตามเอกสารหมาย จ.5 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2515 นั้นมีข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องการชำระต้นเงินและดอกเบี้ยไว้ในสัญญาดังนี้

“ข้อ 2. ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในจำนวนเงินที่เป็นหนี้ในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี โดยจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารทุก ๆ 3 เดือน นับแต่วันทำหนังสือสัญญานี้เป็นต้นไป

ข้อ 3. สำหรับต้นเงินกู้นั้น ผู้กู้ให้สัญญาว่าจะนำต้นเงินกู้ผ่อนชำระให้ธนาคารเป็นงวด ๆ โดยจะผ่อนชำระ 3 เดือนต่อครั้ง นับแต่เดือนสิงหาคม 2516 ตามตารางชำระเงินต้นแนบท้ายสัญญานี้

ข้อ 4. ในกรณีที่ผู้กู้ปฏิบัติผิดเงื่อนไข ในข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ต่อกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แม้สัญญาจะยังไม่ถึงกำหนดก็ตาม ให้ถือว่าผิดสัญญาผู้กู้ยอมให้ธนาคารเลิกสัญญาและบังคับชำระหนี้ที่ค้างได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวทวงถาม

ข้อ 5. หากผู้กู้ผิดนัด ไม่ส่งชำระต้นเงินและดอกเบี้ยงวดที่กล่าวมาในข้อ 2และข้อ 3 โดยมิได้เกิดจากกรณีที่เกี่ยวกับเหตุสุดวิสัยผู้กู้ในฐานะที่เป็นผู้ละเมิดสัญญายอมเสียเบี้ยปรับให้แก่ธนาคารอีกในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี ในจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่คงค้างทั้งหมดนับแต่วันละเมิดสัญญาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จสิ้น”

จากข้อสัญญาดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่า สัญญากู้รายนี้ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 9 ต่อปีตามสัญญาข้อ 2 อยู่แล้ว การที่สัญญาข้อ 5 กำหนดเบี้ยปรับในกรณีผู้กู้ผิดนัดไว้ว่า ให้ผู้กู้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 6 ของจำนวนต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างทั้งหมดรวมกันย่อมเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน สมควรลดลงเป็นให้เสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกร้อยละ 6 รวมเป็นร้อยละ 15 ต่อปีโดยไม่ทบต้นธนาคารโจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้รายนี้ได้เพียงต้นเงิน 490,000 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 490,000 บาท ซึ่งค้างชำระนับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2518 จนกว่าจะชำระเสร็จรวมกับค่าวิเคราะห์โครงการอีก 1,500 บาทเท่านั้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และเป็นผู้จำนองด้วย ย่อมรับผิดเพียงไม่เกินจำนวนดังกล่าวแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้นบางส่วน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาก็ย่อมให้รับผลอันเป็นคุณจากข้อวินิจฉัยส่วนนี้ด้วย เพราะมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองในหนี้เงินกู้จำนวนเงิน 490,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2518 จนกว่าจะชำระเสร็จ กับค่าวิเคราะห์โครงการอีก 1,500 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share