แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์กำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยสัญญากู้ระบุว่า ดอกเบี้ยตามกฎหมาย แต่โจทก์นำสืบว่า ขั้นแรกตกลงคิดดอกเบี้ยกันอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน ต่อมาลดลงเหลือร้อยละ 3 ต่อเดือน จำนวนเงินที่จำเลยชำระมาแล้วเป็นการชำระดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย จำเลยยังมิได้ชำระต้นเงินกู้ทั้งยังค้างชำระดอกเบี้ยอีกสามหมื่นบาทเศษ จึงฟ้องเรียกต้นเงินกู้เต็มจำนวนกับดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญานับตั้งแต่วันกู้ ดังนี้เป็นการนำสืบเรื่องรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงในมูลกรณีที่ฟ้อง เมื่อได้ความว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475 มาตรา 3ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ทั้งการรับฟังพยานบุคคลว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจึงเป็นโมฆะ
การที่จำเลยสมยอมชำระดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแก่โจทก์ ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 จำเลยไม่มีสิทธิเรียกคืนจึงจะให้นำไปหักดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือหักจากยอดต้นเงินไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๕๐,๐๐๐ บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่กำหนด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยแก่โจทก์ เป็นดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๓,๗๕๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖๓,๗๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาทโจทก์คิดดอกเบี้ยล่วงหน้า ๑ ปี เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินในสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่าง ๑ ปีแรก หลังครบกำหนดสัญญาแล้วจำเลยที่ ๑ ยังชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์อีก คงค้างชำระหนี้เพียง ๕๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยที่ ๑ ค้างชำระหนี้โจทก์เต็มจำนวนต้นเงินและเงินที่ชำระให้โจทก์จำนวน ๓๕,๘๐๐ บาท เป็นค่าดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมายกำหนดตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามฟ้องอีกและจำเลยก็จะเรียกคืนมิได้เช่นกัน พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ ๑ ชำระไม่ครบหรือไม่ชำระเลยก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมจำเลยที่ ๑ ส่งเงินชำระหนี้ให้โจทก์รวม ๔๒,๙๕๐ บาท ซึ่งคิดเป็นต้นเงิน ๑๗,๑๘๐ บาท และคิดเป็นดอกเบี้ย ๒๕,๗๗๐ บาท โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อเดือนตามที่จำเลยที่ ๑ ทำบันทึกข้อตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ เฉพาะดอกเบี้ยนั้น จำเลยที่ ๑จะเรียกคืนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ ส่วนต้นเงินที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์เมื่อนำไปหักจากต้นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาทที่จำเลยที่ ๑ กู้ยืมไป คงเหลือต้นเงินจำนวน ๓๒,๘๒๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓๒,๘๒๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ หากจำเลยที่ ๑ ชำระให้แก่โจทก์ไม่ครบหรือไม่ชำระเลยให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทนให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าโจทก์นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำฟ้องและสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง เป็นการนำสืบนอกฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ศาลควรยกฟ้องโจทก์ หรือไม่ รับฟังพยานดังกล่าว ข้อนี้ได้ความว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้กำหนดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยปรากฏตามหนังสือสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๓ ระบุว่าดอกเบี้ยตามกฎหมาย แต่โจทก์นำสืบว่าชั้นแรกตกลงคิดดอกเบี้ยกันอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน ต่อมาลดลงเหลือร้อยละ ๓ ต่อเดือน จำนวนเงินที่จำนวนที่ ๑ ชำระมาแล้วเป็นการชำระดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ชำระต้นเงินกู้ทั้งยังค้างชำระดอกเบี้ยอีกสามหมื่นบาทเศษ โจทก์จึงฟ้องเรียกต้นเงินกู้เต็มจำนวนกับดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญานับตั้งแต่วันกู้ เห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์เป็นเรื่องรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงในมูลกรณีที่ฟ้อง เมื่อได้ความว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๓ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ทั้งการรับฟังพยานบุคคลว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์ หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ ไม่ ศาลล่างทั้งสองฟังว่าโจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นโมฆะ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
จำเลยที่ ๑ ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจำนวน ๒๕,๗๗๐ บาท ควรนำมาหักดอกเบี้ยที่คิดตามกฎหมายร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ส่วนดอกเบี้ยที่เหลืออยู่อีกก็นำไปหักยอดต้นเงินจำนวน ๓๒,๘๒๐ บาท ไม่ควรนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ มาบังคับจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ สมยอมชำระดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแก่โจทก์ไปนั้น ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิเรียกคืน จึงจะให้นำไปหักดอกเบี้ยตามกฎหมายและที่เหลือนำไปหักยอดต้นเงินดังที่จำเลยที่ ๑ ฎีกา หาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ ๑ ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน