แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองรวมกันทำไม้และแปรรูปไม้โดยใช้เลื่อยยนต์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติการที่ศาลล่างใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำเลยจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แล้ว ศาลจะพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับได้ต่อเมื่อมีการลงโทษปรับจำเลยด้วยเพราะจำนวนเงินค่าปรับต้องนำมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณว่าจะต้องจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับเป็นจำนวนเท่าใดฉะนั้นเมื่อศาลพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสองโดยไม่มีการลงโทษปรับด้วยจะให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา74จัตวาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 11, 48, 73, 74, 74 ทวิ, 74 จัตวาพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 6, 8, 9, 14, 31,35 และริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับให้แก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลย ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง(ที่ถูกมาตรา 11 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง)พระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำไม้เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือนฐานแปรรูปไม้จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานมีไม้แปรรูป จำคุกคนละ 6 เดือนรวมจำคุกคนละ 18 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 9 เดือนริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้จับตามกฎหมายพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าไม้ของกลางเป็นไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ยังลักลอบตัดไม้โดยใช้เลื่อนยนต์ นอกจากนี้ไม้แปรรูปของกลางมีจำนวนมากถึง 72 แผ่น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำที่ไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวมและประเทศชาติ กรณีไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้รอการลงโทษ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำไม้และแปรรูปโดยใช้เลื่อยยนต์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจโดยไม่รอการลงโทษจำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 74 จัตวา นั้น เป็นการไม่ถูกต้อง เพราะศาลจะพิพากษาให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับได้ก็ต่อเมื่อมีการลงโทษปรับจำเลยด้วย เพราะจำนวนเงินค่าปรับจะต้องนำมาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณว่าจะต้องจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับเป็นจำนวนเท่าใดศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3