คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามให้การมีสาระสำคัญว่า จำเลยทั้งสามได้ถือสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ หากฟังว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยการซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะฟ้องโจทก์เกี่ยวด้วยการถูกแย่งสิทธิครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ถูกแย่งการครอบครองตามคำให้การดังกล่าวแสดงว่า จำเลยทั้งสามอ้างว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้แย่งการครอบครองจากผู้ใดเพราะการแย่งการครอบครองนั้นจะมีขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ส่วนที่ว่าหากฟังได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสามก็ได้แย่งการครอบครองแล้วนั้นเป็นคำให้การที่มีเงื่อนไขโดยต้องฟังเป็นที่ยุติก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งข้อเท็จจริงยังโต้แย้งกันอยู่ ทั้งขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในปัจจุบัน คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 ตามที่จำเลยให้การต่อสู้
การที่จำเลยทั้งสามฎีกาในทำนองว่าโจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 นั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยทั้งสามไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือไม่ หรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไร และมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ด้วย คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2537 โจทก์ซื้อที่ดินมือเปล่า 2 แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลวังหิน อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2537 และโจทก์ให้นางสง่า ศิริสุวรรณ เช่าในวันเดียวกันทั้งสองแปลง หลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน ผู้เช่าแจ้งโจทก์ว่าไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงได้เนื่องจากจำเลยทั้งสามปลูกต้นยูคาลิปตัสและล้อมรั้วที่ดินทั้งสองแปลงไว้ โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินพิพาทแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากจำเลยทั้งสามรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและตัดฟันต้นยูคาลิปตัสออกไปต้องปรับพื้นดินให้มีสภาพเหมือนก่อนที่จำเลยทั้งสามจะบุกรุกโดยเฉพาะรากต้นยูคาลิปตัสต้องขุดออกไปให้หมดและให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 30,000 บาท กับอีกปีละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือจนกว่าจะออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ใช่ผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทเดิมมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งสองแปลง แต่ทางราชการมีคำสั่งให้เพิกถอนแล้วเนื่องจากเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังทางราชการนำเอาที่ดินพิพาทเข้าโครงการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร จำเลยทั้งสามครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดิน โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือเข้าทำประโยชน์แต่อย่างใด ขณะนี้อยู่ในระหว่างทางราชการออกเอกสารสิทธิให้แก่จำเลยทั้งสาม หากฟังว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยซื้อจากการขายทอดตลาด ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะโจทก์ไม่ฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามส่งมอบที่ดินพิพาทจำนวนสองแปลงให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 30,000 บาท และอีกปีละ 6,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์หรือออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทอีก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์มีชื่อนางบุญรอด อ่อนสอาด และนายอรุณ อ่อนสอาด เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองออกให้เมื่อปี 2526 ต่อมาปี 2528 ทางราชการได้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ปี 2530 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าโดยนางบุญรอดและนายอรุณยกให้ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2537 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล และวันที่ 4 มิถุนายน 2537 เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ได้ทำสัญญาให้นางสง่า ศิริสุวรรณ เช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำไร่อ้อย แต่นางสง่าเข้าไปปลูกอ้อยไม่ได้เพราะจำเลยทั้งสามได้ปลูกต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่ถูกจำเลยทั้งสามแย่งการครอบครอง โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสามให้การเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมีใจความที่เป็นสาระเพียงว่า จำเลยทั้งสามได้ถือสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์แต่อย่างใด หากฟังว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความเพราะฟ้องโจทก์เกี่ยวด้วยการถูกแย่งสิทธิครอบครองซึ่งต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับจากวันที่ถูกแย่งการครอบครอง ตามคำให้การดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสามอ้างว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน ไม่ได้แย่งการครอบครองจากผู้ใดเพราะการแย่งการครอบครองนั้นจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ส่วนที่ว่าหากฟังได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสามก็ได้แย่งการครอบครองแล้วนั้นเป็นคำให้การที่มีเงื่อนไขโดยต้องฟังเป็นยุติก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งข้อเท็จจริงยังโต้แย้งกันอยู่ทั้งขัดแย้งกับคำให้การในตอนแรกที่ว่าจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ในปัจจุบัน คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ตามที่จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่วินิจฉัยประเด็นดังกล่างจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการสุดท้ายมีว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสามฎีกาสรุปได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยทั้งสามได้สิทธิครอบครองมาตั้งแต่ปี 2530 ก่อนมีการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท โจทก์ทราบดีว่าจำเลยทั้งสามเข้าครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทถูกเพิกถอนแล้ว แต่โจทก์ไม่เปิดเผยกลับซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด โจทก์ไม่สุจริตมาแต่ต้น การซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของโจทก์จึงไม่สุจริต ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 อันเป็นฎีกาทำนองว่า โจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตนั้นเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยทั้งสามไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือไม่ หรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไร และมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้แล้ว คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือไม่ และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลสำเร็จบริบูรณ์โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อได้สิทธิของโจทก์ในที่ดินพิพาทจึงไม่เสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share