แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะเป็นผู้ยื่นแบบขอใช้ไฟฟ้าและมีชื่อในทะเบียนผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อให้โจทก์จ่ายกระแสไฟฟ้าให้จำเลยที่บ้านพิพาทก็ตาม แต่เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทให้ ป. ไปแล้ว ย่อมถือได้ว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิการใช้ไฟฟ้าซึ่งติดกับตัวบ้านให้แก่ ป. แล้วโดยปริยาย ป. จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาการใช้ไฟฟ้าที่จำเลยมีต่อโจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิการใช้ไฟฟ้าและเป็นผู้ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้าที่แท้จริงด้วย แม้จำเลยจะยังไม่บอกเลิกการใช้ไฟฟ้าและโอนทะเบียนผู้ใช้ไฟฟ้าให้ ป. ก็ตาม เมื่อขณะตรวจพบการทำละเมิดต่อคร่อมสายไฟฟ้า จำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านพิพาทหรือร่วมรู้เห็นหรือได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว อีกทั้งโจทก์ก็ฟ้องบังคับเอาแก่ ป. แล้ว จำเลยจึงไม่มีความผูกพันต้องชำระหนี้ค่าไฟฟ้าแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 826,311.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 826,311.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 กันยายน 2548) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะเป็นผู้ยื่นแบบขอใช้ไฟฟ้าต่อโจทก์และมีชื่อในทะเบียนผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อให้โจทก์จ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่จำเลยที่บ้านพิพาทก็ตาม แต่ได้ความว่าเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2535 ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่นายเปรมซิงห์ไปแล้ว ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทนั้น ย่อมถือได้ว่ามีการโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิการใช้ไฟฟ้าซึ่งอยู่ติดกับตัวบ้านดังกล่าวให้แก่นายเปรมซิงห์ผู้รับโอนไปโดยปริยายด้วยแล้ว นายเปรมซิงห์ผู้รับโอนจึงต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาการใช้ไฟฟ้าที่จำเลยมีต่อโจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิการใช้ไฟฟ้าและเป็นผู้ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้าที่แท้จริงด้วย แม้จำเลยจะยังไม่ได้แจ้งบอกเลิกการใช้ไฟฟ้าต่อโจทก์และโอนทะเบียนผู้ใช้ไฟฟ้าให้แก่นายเปรมซิงห์ ก็ตาม ซึ่งหลังจากได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวแล้ว จำเลยก็ได้ย้ายชื่อออกจากทะเบียนบ้านหลังดังกล่าวไปตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2539 ก่อนที่โจทก์จะตรวจพบว่ามีการต่อคร่อมสายไฟฟ้าทำให้ไฟฟ้าบางส่วนไม่ผ่านเครื่องวัดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 และคิดค่าไฟฟ้าย้อนหลังไปถึงวันที่ 13 มีนาคม 2540 อันแสดงให้เห็นว่าขณะที่มีการตรวจพบการกระทำละเมิดด้วยการต่อคร่อมสายไฟฟ้าที่ให้ไฟฟ้าบางส่วนไม่ผ่านเครื่องวัดไปจนถึงวันที่โจทก์คิดค่าไฟฟ้าย้อนหลังนั้น จำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวหรือร่วมรู้เห็นหรือได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งขณะที่โจทก์ไปตรวจสอบการใช้ไฟฟ้า จำเลยก็มิได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว และโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าที่แท้จริง โดยได้ความตามฎีกาของจำเลยและคำแก้ฎีกาของโจทก์ซึ่งยอมรับว่า หลังเกิดเหตุกระทำละเมิดดังกล่าว โจทก์ได้ฟ้องนายเปรมซิงห์ในฐานะผู้ครอบครองสถานที่ใช้ไฟฟ้าให้ชำระค่าไฟฟ้าจำนวนเดียวกันกับคดีนี้ และศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้นายเปรมซิงห์ ชำระเงินค่าไฟฟ้าดังกล่าวแก่โจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 6283/2550 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จนคดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้เมื่อฟังได้ว่านายเปรมซิงห์เป็นผู้รับโอนสิทธิการใช้ไฟฟ้าตามสัญญาการใช้ไฟฟ้าที่จำเลยมีต่อโจทก์ไปโดยปริยายแล้ว และโจทก์ก็ได้ฟ้องบังคับคดีเอาแก่นายเปรมซิงห์ ผู้รับโอนแล้ว ทั้งข้อบังคับการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ พ.ศ.2535 ข้อ 36 วรรคหนึ่ง ก็ระบุมีใจความว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องรับผิดชอบ ชำระค่าไฟฟ้าเมื่อได้บอกยกเลิกการใช้ไฟฟ้าเป็นหนังสือหรือโอนสิทธิการใช้ไฟฟ้าให้ผู้อื่น ดังนี้ จำเลยจึงไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ค่าไฟฟ้าจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญาและข้อบังคับดังกล่าวอีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ