แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน(ห้องแถว) ซึ่งมีผู้เช่าอยู่ย่อมรับโอนไปทั้งสิทธิ์และหน้าที่ของผู้โอนซึ่งเป็นเจ้าของเดิม
การที่ผู้ขายฝากได้รับรองสิทธิในการเช่าห้องซึ่งมีผู้เช่าทำสัญญาจดทะเบียนการเช่ากับผู้รับซื้อฝากไว้แล้วนั้นเมื่อผู้ขายฝากไถ่คืนมาการเช่ายังคงมีผลต่อไปตามมาตรา 569 ผู้เช่าไม่จำต้องบอกกล่าวเป็นการแสดงเจตนาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาเช่าอย่างไรตามมาตรา 374 อีกและกรณีเช่นนี้ไม่เข้าข่ายมาตรา 502 เพราะผู้ขายฝากซึ่งไถ่คืนมานั้นได้ทำสัญญาประนีประนอมกับผู้ซื้อฝากให้การเช่ามีผลต่อไป
ย่อยาว
คดีได้ความว่า เดิมนายซ้ง แซ่ฉั่ว เป็นเจ้าของ ห้องแถวซึ่งสร้างบนที่ดินเช่าจากผู้อื่นนายซ้งนำห้องไปขายฝากนายสำรวยกำหนดไถ่ถอนภายใน 2 ปี ต่อมานายซ้งขอไถ่ นายสำรวยไม่ยอมให้ไถ่ จึงฟ้องขอไถ่ ศาลฎีกาพิพากษาให้ไถ่ได้ ก่อนศาลฎีกาพิพากษานายสำรวยได้ให้จำเลยเช่าห้องพิพาททำสัญญากำหนด 5 ปี จดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ ระหว่างนั้นนายสำรวยได้ฟ้องนายซ้งเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกฉ้อโกงเงินอยู่อีกคดีหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุก 6 เดือน นายซ้งฎีกา ต่อมานายสำรวยกับนายซ้งทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนอกศาล ซึ่งในสัญญาข้อ 4 มีความตอนท้ายว่า “ฯลฯ ข้าพเจ้านายซ้ง แซ่ฉั่ว ขอรับรองว่า ข้าพเจ้าจะไม่ฟ้องร้องขับไล่ผู้ที่เช่าอยู่และยอมให้ผู้เช่าอยู่ต่อไปจนครบกำหนดตามสัญญาเช่าเท่านั้น(สัญญามีกำหนด 5 ปี) นับแต่ 1 มี.ค. 2496) ค่าเช่าห้องเลขที่ 146 เป็นของนายซ้ง แซ่ฉั่ว นับแต่วันที่นายซ้งไถ่ถอน”แล้วนายสำรวยถอนฟ้องคดีอาญาตามสัญญาประนีประนอมและศาลอนุญาต นายซ้งได้ขายห้องพิพาทให้โจทก์ จำเลยอยู่ในห้องพิพาทโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ออก จำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความที่นายซ้งทำกับนายสำรวยใช้ได้ตามข้อ 4 แห่งสัญญา นายซ้งรับรองสิทธิในการเช่าห้องพิพาทของจำเลยที่ทำสัญญาเช่ากับนายสำรวย จำเลยไม่จำต้องบอกกล่าวแสดงเจตนาอย่างใดอีก นายซ้งย่อมผูกพันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 569
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ไม่มีปัญหาในเรื่องที่ดิน แต่เป็นการโต้เถียงกันเฉพาะระหว่างผู้รับโอนห้องคือโจทก์จำเลยผู้เช่าโดยนายซ้งผู้โอนได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมให้จำเลยเช่ามีกำหนด 5 ปีแล้วโอนขายแก่โจทก์ โจทก์ผู้รับโอนย่อมถูกผูกพันตามสัญญาที่นายซ้งทำไว้ แต่ปรากฏว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ก่อนถึงกำหนดคือฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2498 (วันที่ 21) ซึ่งจำเลยยังมีสิทธิอยู่ (สัญญาที่นายสำรวยทำกับนายซ้งนับแต่ 1 มี.ค. 2496) และกรณีไม่เข้า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 502 เพราะนายซ้งผู้โอนยินยอมให้จำเลยเช่าได้ตามสัญญาประนีประนอมส่วนข้ออ้างที่ว่านายซ้งทำสัญญาเพราะถูกขู่เข็ญทางพิจารณาไม่ได้ความเช่นนั้น
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะดำเนินการขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยต่อไป