คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พนักงานสอบสวนได้บันทึกแจ้งข้อหาจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาขับรถประมาทเฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเปรียบเทียบปรับไว้ว่า คู่กรณีตกลงกันโดยทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นที่พอใจแล้ว โดย ส. ผู้เอาประกันภัยและจำเลยลงชื่อไว้ จึงเป็นการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างซ่อมรถที่เสียหายเอง มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ซึ่งมีผลให้ ส. ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้อีก การที่โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ ส. เป็นการปฏิบัติไปตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย แต่ ส. เป็นผู้เสียหายย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย และเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บย 9834 ชลบุรี จากนายสมพร โสภณ เจ้าของผู้ครอบครอง มีระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2543 ถึง 31 มกราคม 2544 เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2543 จำเลยขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขนจ ชล 582 โดยมีนายชาตรี บุญญเขตต์ นั่งซ้อนท้ายด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังออกจาถนนซอยด้วยความเร็วสูงตัดหน้ารถยนต์กระบะที่นายสมพรขับมาตามถนนศรีราชา – ซากค้อ ซึ่งเป็นทางตรงอย่างกะทันหันเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหาย จำเลยกับนายชาตรีได้รับบาดเจ็บโจทก์นำรถยนต์กระบะที่รับประกันภัยไปซ่อมแซมเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 25,240.45 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 25,240.45 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2543 อันเป็นวันที่โจทก์ชำระเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2543 จำเลยขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขนจ ชบล 582 โดยมีนายชาตรี บุญญเขตต์ นั่งซ้อนท้ายออกจากถนนซอยด้วยความประมาทตัดหน้ารถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บย 9834 ชลบุรี ที่นายสมพร โสภณ ขับมาตามถนนศรีราชา – ซากค้อ อย่างกะทันหันเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน ได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับจำเลยในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและพนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกเกี่ยวกับค่าเสียหายไว้ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.7 โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บย 9834 ชลบุรี ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปซ่อมเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 25,240.45 บาท คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์ได้รับช่วงสิทธิและมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.7 พนักงานสอบสวนได้บันทึกแจ้งข้อหาจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาขับรถประมาทเฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเปรียบเทียบปรับ ซึ่งนอกจากจะทำให้คดีอาญาเป็นอันเลิกกันแล้ว พนักงานสอบสวนยังบันทึกเกี่ยวกับค่าเสียหายมีความว่า คู่กรณีสมัครใจตกลงกันโดยทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหาย ตกลงกันเป็นที่พอใจแล้วจึงให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน โดยนายสมพรผู้เอาประกันภัยและจำเลยลงชื่อทั้งสองฝ่าย ดังนี้ แสดงว่านายสมพรผู้เอาประกันภัยรถยนต์กระบะคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้ตกลงกับจำเลยว่าไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน จึงเป็นการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างซ่อมรถที่เสียหายเอง ข้อตกลงเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ซึ่งมีผลให้นายสมพรผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้อีก โจทก์ผู้รับประกันภัยจะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเพียงเท่าที่ผู้เอาประกันภัยมีอยู่เท่านั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทิเรียกร้องค่าเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมไม่ได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่จะมาเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แม้โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันภัยก็เป็นการปฏิบัติไปตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์ทำไว้กับผู้เอาประกันภัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่านายสมพรผู้เอาประกันภัยทำบันทึกตกลงกับจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.7 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ไม่มีผลผูกพันโจทก์นั้น เห็นว่า นายสมพรผู้เอาประกันภัยเป็นผู้เสียหายกรณีละเมิดถูกรถจักรยานยนต์จำเลยเฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะทำข้อตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่กับจำเลยด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน อันเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ และมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยนำคดีมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ สำหรับคำพิพากษาฎีกาที่ 4445/2538 ที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน จำเลยไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share