คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4007/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กรณีที่โจทก์ผู้ฝากส่งเงินทางไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศไปให้ผู้รับแต่ผู้รับไม่ไปขอรับเงินภายในกำหนด 2 เดือน นับต่อจากเดือนที่ฝากส่ง ไปรษณีย์ปลายทางจึงส่งไปรษณีย์ธนาณัติคืนไปรษณีย์ต้นทางตามระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทยของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 61 ว่าด้วยบริการไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศ พ.ศ. 2526(แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 9 พ.ศ. 2535) ข้อ 3 กำหนดให้ที่ทำการต้นทางเพียงแต่ตรวจสอบแบบ ธน. 31ท่อนที่ 1 ซึ่งได้รับคืนกับแบบ ธน.1ของธนาณัติฉบับนั้น และแยกเก็บไว้เพื่อการติดต่อขอรับเงินคืนจากผู้ฝากเท่านั้นทั้งไปรษณีย์นิเทศฯ ก็มิได้กำหนดให้ที่ทำการต้นทางจะต้องแจ้งให้ผู้ฝากทราบ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ฝากที่จะต้องไปติดต่อขอรับเงินคืนภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ข้อ 235 เมื่อโจทก์ผู้ฝากไม่ได้ไปขอรับเงินคืนในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงประกาศโฆษณากำหนดระยะเวลาให้โจทก์ไปขอรับเงินคืนอีกแต่โจทก์ก็ไม่ไปขอรับเงินคืนตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ข้อ 236 และไปรษณีย์นิเทศฯข้อ 204 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิโอนเงินธนาณัติที่โจทก์ฝากส่งเป็นของจำเลยที่ 1 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำเงินจำนวน 8,096 บาทฝากส่งไปรษณีย์ธนาณัติ ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 2 ไปยังที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขหัวหมากปลายทาง เพื่อให้จำเลยที่ 1ส่งเงินดังกล่าวให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ ต่อมาโจทก์ทราบว่าบริษัทดังกล่าวยังไม่ได้รับเงินไปรษณีย์ธนาณัติที่โจทก์ส่งไปให้ จึงได้ติดต่อจำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้นำเงินไปรษณีย์ธนาณัติเป็นรายได้ของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถส่งเงินไปรษณีย์ธนาณัติให้แก่ผู้รับตามจ่าหน้าได้อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยบริการไปรษณีย์ธนาณัติหมวดที่ 24ข้อ 235 และ 236 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถรับเงินที่โจทก์ฝากส่งคืนได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 10,383 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 8,096 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาเฉพาะจำเลยที่ 1 ไม่รับฟ้องจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ผู้รับเงินตามจ่าหน้าไม่มารับเงินภายในกำหนด 2 เดือน นับต่อจากเดือนที่ฝากส่ง ไปรษณีย์โทรเลขหัวหมากซึ่งเป็นที่ทำการปลายทางจึงส่งไปรษณีย์ธนาณัติดังกล่าวคืนไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีที่ทำการต้นทางเพื่อจ่ายเงินธนาณัติคืนแก่โจทก์แต่โจทก์ไม่มาติดต่อขอรับเงินภายในกำหนดเวลา 4 เดือน ไปรษณีย์ธนาณัติของโจทก์จึงพ้นอายุการจ่ายเงินตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 61 ข้อ 234, 235 และจำเลยที่ 1ได้ประกาศโฆษณาให้ผู้รับเงินหรือผู้ฝากที่มีใบไปรษณีย์ธนาณัติภายในประเทศที่ฝากส่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2539 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2539 มาติดต่อขอรับเงินภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2540 แล้ว แต่โจทก์ไม่มาติดต่อขอรับเงินคืนในกำหนด จำเลยที่ 1 จึงระงับการจ่ายเงินและดำเนินการโอนเงินธนาณัติดังกล่าวเป็นรายได้ของจำเลยที่ 1ตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 61 ข้อ 236 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 มาตรา 34(2) โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2539 โจทก์ฝากส่งเงิน 8,096 บาทกับจำเลยที่ 1 ทางไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศจากไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีที่ทำการต้นทางไปยังไปรษณีย์โทรเลขหัวหมากที่ทำการปลายทาง เพื่อชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่บริษัท เอส. พี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้รับ และไปรษณีย์โทรเลขหัวหมากได้จัดส่งใบแจ้งความไปรษณีย์ธนาณัติ สำหรับผู้รับไปขอรับเงิน (แบบ ธน.31ท่อนที่ 2) ให้แก่บริษัท เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แล้ว แต่บริษัทดังกล่าวไม่ไปขอรับเงินภายในกำหนด 2 เดือน นับต่อจากเดือนที่ฝากส่งตามระเบียบของจำเลยที่ 1ฉบับที่ 61 ว่าด้วยบริการไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศ พ.ศ. 2526 ข้อ 235.1 ไปรษณีย์โทรเลขหัวหมาก จึงส่งใบไปรษณีย์ธนาณัติสำหรับ นปท. (ธน. 31 ท่อนที่ 1) คืนไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีที่ทำการต้นทางตามระเบียบฉบับที่ 61 ข้อ 238 เพื่อจ่ายเงินคืนให้แก่โจทก์ผู้ฝากส่ง ไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีรอโจทก์ติดต่อขอรับเงินคืนโดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่า บริษัท เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้รับไม่ได้ไปขอรับเงินจนกระทั่งครบกำหนด 4 เดือนนับต่อจากเดือนที่ฝากส่งตามระเบียบฉบับที่ 61 ข้อ 235.2 ปรากฏว่าโจทก์มิได้ไปขอรับเงินคืน และเมื่อครบกำหนด 6 เดือนนับต่อจากเดือนที่ฝากส่งตามระเบียบฉบับที่ 61 ข้อ 235.3 แล้ว โจทก์และบริษัท เอส. พี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดก็มิได้ไปขอรับเงิน จำเลยที่ 1 จึงประกาศโฆษณาให้โจทก์หรือบริษัท เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นำหลักฐานไปติดต่อขอรับเงินคืนภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ 1มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2541 โจทก์และบริษัท เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด มิได้ไปขอรับเงินในกำหนดดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงโอนเงินธนาณัติเป็นของจำเลยที่ 1ตามระเบียบฉบับที่ 61 ข้อ 236 และไปรษณีย์นิเทศ พ.ศ. 2539 ข้อ 204 คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดคืนเงินไปรษณีย์ธนาณัติตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อได้รับ ธน. 31 ท่อนที่ 1 คืนจากไปรษณีย์โทรเลขหัวหมากที่ทำการปลายทางแล้ว ไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีที่ทำการต้นทางจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบเสียก่อนว่า บริษัท เอส. พี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้รับไม่ได้ไปขอรับเงินจึงจะถือได้ว่าโจทก์ไม่ไปติดต่อขอรับเงินคืนในกำหนดตามระเบียบของจำเลยที่ 1ฉบับที่ 61 ข้อ 235 เมื่อไปรษณีย์โทรเลขสุราษฎร์ธานีมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ จำเลยที่ 1จึงไม่สามารถดำเนินการประกาศโฆษณากำหนดระยะเวลาให้โจทก์ไปขอรับเงินคืน และโอนเงินธนาณัติที่โจทก์ฝากส่งเป็นของจำเลยที่ 1 ตามระเบียบดังกล่าวข้อ 236 และไปรษณีย์นิเทศ พ.ศ. 2539 ข้อ 204 ได้ เห็นว่า เดิมระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทยฉบับที่ 61 ว่าด้วยบริการไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศ พ.ศ. 2526 ข้อ 241.1 กำหนดว่า เมื่อที่ทำการต้นทางได้รับแบบ ธน. 31 ท่อนที่ 1 ซึ่งที่ทำการปลายทางส่งคืนให้ตามข้อ 238 ให้ตรวจสอบกับแบบ ธน. 1 (ใบฝากธนาณัติในประเทศ) ของธนาณัติฉบับนั้นหากเป็นรายที่ไม่มีหมายเหตุการออกแบบ ธน. 10 ก. (ใบแทนไปรษณีย์ธนาณัติ)หรือหมายเหตุให้ระงับการจ่ายเงินคืนใด ๆ อย่างกรณีของโจทก์ให้แจ้งผู้ฝากทราบเพื่อรับเงินคืนด้วยแบบ ธน.47 ท่อนที่ 2 โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน แต่ขณะเกิดเหตุคดีนี้ระเบียบดังกล่าวได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 61 ว่าด้วยบริการไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศ พ.ศ. 2526 (แก้ไขเพิ่มเติม ครั้งที่ 9พ.ศ. 2535) ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2535 ข้อ 3 กำหนดให้ที่ทำการต้นทางเพียงแต่ตรวจสอบแบบ ธน. 31 ท่อนที่ 1 ซึ่งได้รับคืนกับแบบ ธน.1 ของธนาณัติฉบับนั้น และแยกเก็บไว้ เพื่อรอการติดต่อขอรับเงินคืนจากผู้ฝากเท่านั้น ทั้งไปรษณีย์นิเทศ พ.ศ. 2539 ก็มิได้กำหนดให้ที่ทำการต้นทางจะต้องแจ้งให้ผู้ฝากทราบ จึงเป็นหน้าที่ของผู้ฝากที่จะต้องไปติดต่อขอรับเงินคืนภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 61 ข้อ 235 เมื่อโจทก์ผู้ฝากไม่ได้ไปขอรับเงินคืนในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงดำเนินการประกาศโฆษณากำหนดระยะเวลาให้โจทก์ไปขอรับเงินคืนและโอนเงินธนาณัติที่โจทก์ฝากส่งเป็นของจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ไม่ไปขอรับเงินตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 61 ข้อ 236และไปรษณีย์นิเทศ พ.ศ. 2539 ข้อ 204 ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share