คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3997/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภายหลังศาลชั้นต้นชี้สองสถาน คู่ความไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความของศาลชั้นต้น โดยกำหนดวันสืบพยานโจทก์วันที่ 19 มกราคม 2559 สืบพยานจำเลยวันที่ 20 มกราคม 2559 เวลา 9.00 น. ถึง 16.30 น. ทั้งสองวัน อันเป็นการกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่องล่วงหน้าเป็นเวลา 5 เดือนเศษ ซึ่งเป็นระยะเวลานานพอที่คู่ความจะได้เตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดทั้งคู่ความลงลายมือชื่อในรายงานเจ้าหน้าที่ว่าได้รับเอกสาร ทราบคำสั่งศาลในการเตรียมคดี และจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการเตรียมคดีโดยเคร่งครัด ตามคำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องการเตรียมคดี ข้อ 1 ระบุว่า เมื่อศาลกำหนดวันนัดพิจารณาคดีต่อเนื่องแล้ว คู่ความมีหน้าที่เตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดโดยเคร่งครัด และข้อ 7 หากมีเหตุขัดข้องใด ๆ ที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุขัดข้องดังกล่าวพร้อมกำหนดแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ หรืออาจร้องขอให้ศาลสืบพยานล่วงหน้าไว้ทันทีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 101 มิฉะนั้น ศาลอาจถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นมีพฤติการณ์ในการประวิงคดี และอาจใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ฉะนั้น คู่ความทุกฝ่ายมีหน้าที่ต้องเตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด หากมีเหตุขัดข้องที่ทำให้คู่ความฝ่ายใดไม่สามารถนำพยานมาสืบได้ คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่แจ้งเหตุขัดข้องพร้อมแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ มิฉะนั้นศาลอาจมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และในการเลื่อนคดี ป.วิ.พ. มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชักช้า โดยห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดี เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้และหากศาลไม่อนุญาตจะทำให้เสียความยุติธรรม สำหรับโจทก์ขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่า ก. กรรมการโจทก์ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจการค้าระหว่างวันที่ 13 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 19 มกราคม 2559 ไม่สามารถเดินทางกลับมาเบิกความได้ทัน โจทก์ยอมรับในอุทธรณ์ว่า ก. ไปเจรจาธุรกิจการค้ากับชาวต่างชาติซึ่งติดต่อมากะทันหันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับวันนัดของศาล ก. มีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 19 มกราคม 2559 เวลา 9.00 น. แสดงว่าโจทก์รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ก. ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยมาเบิกความในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ทัน โจทก์ยังยินยอมให้ ก. เดินทางไปต่างประเทศโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องพร้อมแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ และไม่ได้นำพยานที่ประสงค์จะสืบอีก 2 ปาก มาเบิกความ พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล และจงใจฝ่าฝืนคำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องการเตรียมคดี ข้อ 1 และข้อ 7 ดังกล่าว นอกจากนี้ศาลชั้นต้นให้โอกาสโจทก์ติดตามพยานมาเบิกความโดยรอพยานโจทก์จนถึงเวลา 10.45 น. แต่โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความได้ กรณีมิใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ แม้เป็นการขอเลื่อนคดีครั้งแรกและจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านก็ไม่สมควรให้เลื่อนคดีหรือเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในช่วงบ่ายดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 998,409.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ชำระค่าจ้างงวดที่ 2 จำนวน 877,400 บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 19 มกราคม 2559 โจทก์ยื่นคำร้องว่า นายกุลเทพ กรรมการโจทก์ที่จะต้องมาเบิกความเดินทางไปต่างประเทศจะกลับมาในวันนี้ ไม่สามารถมาเบิกความได้ทัน ขอเลื่อนคดี และเวลา 10.30 นาฬิกา โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีพยานเพิ่มเติม 1 อันดับ คือ นายราชวิน กรรมการโจทก์อีกคนหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ศาลชี้สองสถานเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยล่วงหน้า 5 เดือนเศษ กรรมการโจทก์น่าจะวางแผนการเดินทางได้ล่วงหน้าโดยไม่กระทบต่อการพิจารณาคดี พฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าโจทก์ไม่ให้ความสำคัญต่อการดำเนินกระบวนพิจารณา ส่วนพยานที่เหลืออีก 2 ปาก โจทก์ก็ไม่ได้นำมาศาล ที่อ้างว่าพยานติดภารกิจก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงว่ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ ถือว่าโจทก์จงใจไม่นำพยานมาสืบ ศาลรอพยานโจทก์จนถึงเวลา 10.45 นาฬิกา แต่โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความได้ ทั้งนายราชวินไม่อยู่ในศาลพร้อมที่จะเบิกความ จึงไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม ไม่รับบัญชีพยานเพิ่มเติมและงดสืบพยานโจทก์ แล้วเลื่อนไปสืบพยานจำเลยทั้งสองในวันรุ่งขึ้นตามที่นัดไว้แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 820,000 บาท กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งแทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก กับให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องโจทก์และค่าฤชาธรรมเนียม (ที่ถูก ในส่วนฟ้องแย้ง) ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี คำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมและคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ และอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลในอนาคตชั้นอุทธรณ์ 100 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันชี้สองสถานวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ทนายโจทก์แถลงขอสืบพยาน 3 ปาก จำเลยขอสืบพยาน 2 ปาก และคู่ความไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความของศาลชั้นต้น โดยกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 19 มกราคม 2559 สืบพยานจำเลยวันที่ 20 มกราคม 2559 เวลา 9 นาฬิกา ถึง 16.30 นาฬิกา ทั้งสองวัน เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 19 มกราคม 2559 โจทก์ยื่นคำร้องว่านายกุลเทพ กรรมการโจทก์ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจกับชาวต่างชาติจะกลับมาในวันนี้ไม่สามารถมาเบิกความได้ทัน ขอเลื่อนคดี และเวลา 10.30 นาฬิกา โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีพยานเพิ่มเติม 1 อันดับ คือ นายราชวิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี ไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมและงดสืบพยานโจทก์
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี ไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมและงดสืบพยานโจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า ภายหลังศาลชั้นต้นชี้สองสถาน คู่ความไปกำหนดวันนัดสืบพยานที่ศูนย์นัดความของศาลชั้นต้น โดยกำหนดวันสืบพยานโจทก์วันที่ 19 มกราคม 2559 สืบพยานจำเลยวันที่ 20 มกราคม 2559 เวลา 9 นาฬิกา ถึง 16.30 นาฬิกา ทั้งสองวัน อันเป็นการกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่องล่วงหน้าเป็นเวลา 5 เดือนเศษ ซึ่งเป็นระยะเวลา นานพอที่คู่ความจะได้เตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดทั้งคู่ความลงลายมือชื่อในรายงานเจ้าหน้าที่ว่าได้รับเอกสาร ทราบคำสั่งศาลในการเตรียมคดีและจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการเตรียมคดีโดยเคร่งครัด ตามคำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องการเตรียมคดี ข้อ 1 ระบุว่า เมื่อศาลกำหนดวันนัดพิจารณาคดีต่อเนื่องแล้ว คู่ความมีหน้าที่เตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดโดยเคร่งครัด และข้อ 7 หากมีเหตุขัดข้องใด ๆ ที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุขัดข้องดังกล่าวพร้อมแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ หรืออาจร้องขอให้ศาลสืบพยานล่วงหน้าไว้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 101 มิฉะนั้นศาลอาจถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นมีพฤติการณ์ในการประวิงคดี และอาจใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ฉะนั้น คู่ความทุกฝ่ายมีหน้าที่ต้องเตรียมพยานหลักฐานและนำพยานมาสืบให้เสร็จตามกำหนดนัดโดยเคร่งครัด หากมีเหตุขัดข้องที่ทำให้คู่ความฝ่ายใดไม่สามารถนำพยานมาสืบได้ คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่แจ้งเหตุขัดข้องพร้อมแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ มิฉะนั้นศาลอาจมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และในการเลื่อนคดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชักช้า โดยห้ามมิให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดี เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้และหากศาลไม่อนุญาตจะทำให้เสียความยุติธรรม สำหรับโจทก์ขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่า นายกุลเทพกรรมการโจทก์ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจรจาธุรกิจการค้าระหว่างวันที่ 13 มกราคม 2559 ถึงวันที่ 19 มกราคม 2559 ไม่สามารถเดินทางกลับมาเบิกความได้ทัน โจทก์ยอมรับในอุทธรณ์ว่า นายกุลเทพไปเจรจาธุรกิจการค้ากับชาวต่างชาติ ซึ่งติดต่อมากะทันหันเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับวันนัดของศาล นายกุลเทพมีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 19 มกราคม 2559 เวลา 9 นาฬิกา แสดงว่าโจทก์รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านายกุลเทพไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยมาเบิกความในวันนัดสืบพยานโจทก์ได้ทัน โจทก์ยังยินยอมให้นายกุลเทพเดินทางไปต่างประเทศโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องพร้อมแนวทางแก้ไขให้ศาลทราบ และไม่ได้นำพยานที่ประสงค์จะสืบอีก 2 ปากมาเบิกความ พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า โจทก์มิได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล และจงใจฝ่าฝืนคำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องการเตรียมคดี ข้อ 1 และข้อ 7 ดังกล่าว นอกจากนี้ศาลชั้นต้นให้โอกาสโจทก์ติดตามพยานมาเบิกความโดยรอพยานโจทก์จนถึงเวลา 10.45 นาฬิกา แต่โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความได้ กรณีมิใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ แม้เป็นการขอเลื่อนคดีครั้งแรกและจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านก็ไม่สมควรให้เลื่อนคดีหรือเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในช่วงบ่ายดังที่โจทก์ฎีกา ส่วนนายราชวินที่โจทก์ประสงค์จะระบุพยานเพิ่มเติม ตามรายงานกระบวนพิจารณาก็ระบุว่าไม่อยู่ในศาลพร้อมที่จะเบิกความ จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี ไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมและงดสืบพยานโจทก์นั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ชนะคดีตามฟ้อง ให้จำหน่ายคดีในส่วนอุทธรณ์ที่โจทก์ขอให้ชนะคดีตามฟ้อง โจทก์ฎีกาโดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share