คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่โจทก์จำเลยทำความตกลงเกี่ยวกับเงินค่าประกันสัญญาและเงินช่วยค่าปลูกสร้างนั้น อาคารสถานที่เช่าได้ปลูกเสร็จแล้วจึงไม่ใช่เงินช่วยค่าปลูกสร้างที่แท้จริง แต่เป็นเงินที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าให้เป็นค่าตอบแทนแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าในการที่จะให้โจทก์เช่าโดยมีกำหนดระยะเวลาเช่า 2 ปีอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเช่นเดียวกับเงินกินเปล่า การตีความแสดงเจตนานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 132 ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร และตามมาตรา 368 ให้ตีความตามสัญญาไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงประเพณีด้วย โดยปกติของการทำสัญญาเช่าที่ผู้เช่าต้องให้เงินกินเปล่าล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแก่ผู้ให้เช่าก็เพื่อผู้เช่าจะได้เช่าทรัพย์ตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้เป็นการตอบแทนกำหนดระยะเวลาเช่าจึงเป็นข้อสาระสำคัญแห่งสัญญาว่าหากผู้เช่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่า ผู้ให้เช่าก็มีหน้าที่ต้องให้ผู้เช่าเช่าจนครบเวลาที่ตกลงกัน ฉะนั้นข้อความในสัญญาเช่าที่ว่า “เงินที่ผู้เช่าได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามสัญญานี้ไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าผู้เช่าจะอยู่จนครบกำหนดตามสัญญาเช่าหรือไม่ก็ตามผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกคืนจากผู้ใช้เช่าไม่ว่ากรณีใด ๆทั้งสิ้น” จึงใช้บังคับเฉพาะกรณีที่โจทก์ผู้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาเท่านั้น หาได้ใช้บังคับในกรณีที่จำเลยผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินประกันสัญญา เงินช่วยค่าปลูกสร้างและเงินค่าเสียหายตามสัญญาเช่า เพราะดอกเบี้ยจำนวน 82,237,50 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน80,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ห้ามโจทก์และผู้เช่ารายอื่นเข้าไปขายอาหารในอาคารสถานที่เช่า โจทก์เลิกขายเอง จำเลยมิใช่เป็นผู้ประพฤติผิดสัญญาเช่า ตามสัญญาเช่าข้อ 2 วรรคท้าย และข้อ 3โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจากจำเลย รวมทั้งค่าเสียหายและดอกเบี้ยด้วย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาโดยสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียวแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 65,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2530 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาประการสุดท้าย โจทก์มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าปลูกสร้าง 40,000 บาท คืนจากจำเลยหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้แก่จำเลยก็เพื่อจะได้เช่าอาคารของจำเลยทำการค้าขายข้าวแกงเป็นเวลา 2 ปี จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เห็นว่า ขณะที่โจทก์จำเลยทำความตกลงเกี่ยวกับเงินดังกล่าวตามหนังสือสัญญาชำระเงินช่วยค่าปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.3 นั้น อาคารสถานที่เช่าได้ปลูกสร้างเสร็จแล้ว จึงไม่ใช่เงินช่วยค่าปลูกสร้างที่แท้จริง แต่เป็นเงินที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าให้เป็นค่าตอบแทนแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าในการที่จะให้โจทก์เช่าโดยมีกำหนดระยะเวลาเช่า 2 ปี นับแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ 2530 อันเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าเดียวกับเงินกินเปล่าแม้เอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3 มีข้อความว่า “เงินที่ผู้เช่าได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าตามสัญญานี้ไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่ว่าผู้เช่าจะอยู่จนครบกำหนดตามสัญญาเช่าหรือไม่ก็ตามผู้เช่าไม่มีสิทธิเรียกร้องคืนเงินจากผู้ให้เช่า ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น” ก็ตาม แต่การตีความแสดงเจตนานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 132ให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวอักษร และตามมาตรา 368 ให้ตีความสัญญาไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย โดยปกติของการทำสัญญาเช่าที่ผู้เช่าต้องให้เงินกินเปล่าล่วงหน้าจำนวนหนึ่งแก่ผู้ให้เช่าก็เพื่อผู้เช่าจะได้เช่าทรัพย์ตามกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้เป็นการตอบแทนกำหนดระยะเวลาเช่าจึงเป็นข้อสาระสำคัญแห่งสัญญาเช่า หากผู้เช่าไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าแล้วผู้ให้เช่าที่หน้าที่ต้องให้ผู้เช่าเช่าทรัพย์นั้น จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันจึงเห็นว่า ความในเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 3 ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่โจทก์ผู้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาเท่านั้น หาได้ใช้บังคับในกรณีที่จำเลยผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย แต่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์จากสถานที่เช่ามาเป็นเวลา 4 เดือน เมื่อคำนวณจำนวนเงินค่าตอบแทนที่จำเลยควรได้รับเงินตามส่วนเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืน33,333 บาท ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์อีก 33,333 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 30พฤษภาคม 2530 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share