แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวตามหนังสืออนุญาตสทก. 1 มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ต่อมาสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท จำเลยได้ก่อสร้างถนนผ่านที่ดินพิพาทหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวสิทธิการทำประโยชน์ของโจทก์ดังกล่าวย่อมสิ้นสุดไปแล้วทั้งกรณีมิใช่เป็นการยกสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้ระหว่างราษฎรด้วยกัน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่เป็นหน่วยงานของรัฐจึงมีผลเท่ากับโจทก์อ้างสิทธิครอบครองมาใช้ยันรัฐซึ่งไม่อาจกระทำได้ โจทก์ไม่ให้อำนาจฟ้องจำเลยรื้อและปรับสภาพถนนให้เป็นที่นาตามเดิมและใช้ค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามหนังสืออนุญาต สทก. 1 เลขที่ดิน 32 ระวางหมายเลข 5738-4 รหัสป่า ส.ร.22 กิ่งอำเภอลำดวนจังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 15 ไร่ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2527 ระหว่างที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งสองมีโครงการปรับปรุงและสร้างถนนสายกิ่งอำเภอลำดวน ถึงอำเภอศีขรภูมิเมื่อเดือนเมษายน 2533 จำเลยทั้งสองสร้างถนนมาถึงเขตที่ดินของโจทก์และตัดถนนขึ้นใหม่ไม่ใช่เส้นทางเดิม โดยตัดถนนบุกรุกเข้าไปในเขตที่ดินของโจทก์ ขุดดินยกสูงขึ้นเป็นถนน ทำให้ที่นาของโจทก์เสียหายเป็นเนื้อที่ประมาณ 2,862 ตารางเมตร ขาดประโยชน์จากการทำนาคิดเป็นเงินปีละ 20,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อและปรับสภาพถนนให้เป็นที่นาตามเดิม หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมกระทำให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการแทนโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ปีละ 20,000 บาทนับแต่ปี 2533 เป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะสามารถกลับเข้าทำนาได้
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติโจทก์เป็นเพียงผู้ได้รับอนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามกฎหมาย เมื่อมีผู้บุกรุกเข้าไปทำให้เสื่อมเสียสภาพป่าสงวนแห่งชาติ จึงเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถนนออกไปจากที่ดินพิพาทและปรับสภาพพื้นที่ให้เป็นที่นา ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงินปีละ 10,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่ปี 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนและปรับสภาพพื้นที่แล้วเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในที่ดินพิพาทตามหนังสืออนุญาต สทก. 1เอกสารหมาย จ.1 มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2527 ถึง 1 ตุลาคม 2532 ในปี 2533 จำเลยที่ 1 ก่อสร้างถนนมาตรฐาน รพช. สายบ้านไทร-กิ่งอำเภอลำดวนเชื่อมระหว่างอำเภอลำดวนกับอำเภอศีขรภูมิ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป ผ่านที่ดินพิพาท
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 รื้อและปรับสภาพถนนให้คืนสภาพเดิมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 16 บัญญัติว่า “อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจอนุญาตให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) การเข้าทำประโยชน์หรืออาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติคราวละไม่น้อยกว่าห้าปีแต่ไม่เกินสามสิบปี ฯลฯ”
โจทก์เป็นผู้ที่ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำกินชั่วคราวในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามหนังสืออนุญาต สทก.1 ตามเงื่อนไขของมาตรา 16 อันเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งบัญญัติว่า “ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ฯลฯ” เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ก่อสร้างถนนในปี 2533 อันเป็นเวลาหลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาในหนังสืออนุญาต สทก.1 ของโจทก์ สิทธิการทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนของโจทก์ตามเงื่อนไขของกฎหมายย่อมสิ้นสุดไปแล้ว ทั้งกรณีมิใช่เป็นการยกสิทธิครอบครองขึ้นต่อสู้ระหว่างราษฎรด้วยกัน แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1ที่เป็นส่วนราชการและเป็นหน่วยงานของรัฐจึงมีผลเท่ากับโจทก์อ้างสิทธิครอบครองมาใช้ยันรัฐนั่นเอง ซึ่งโจทก์ไม่อาจกระทำได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ฎีกา จำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1