คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยชำระให้แก่โจทก์ก่อนเลิกสัญญากันถือได้ว่าเป็นค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชำระไว้แล้วด้วยเช็คแทนเงินหาใช่ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระและค้างชำระแม้เช็คดังกล่าวจะรับเงินไม่ได้ มูลหนี้ตามเช็คยังคงมีอยู่ไม่ระงับไปจนกว่าจะได้ใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว ดังนี้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 321

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากโจทก์ 1 คันในราคา 450,000 บาท เช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับเป็นเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดสุดท้าย เมื่อโจทก์ยึดรถแทรกเตอร์คืนไปแล้ว โจทก์จะต้องคืนเช็คดังกล่าวให้จำเลย แต่ไม่คืนให้กลับนำเช็คที่รู้อยู่ว่าไม่มีมูลหนี้มาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ โจทก์นำเช็คไปสลักหลังขายลดให้แก่ธนาคารกรณีเป็นเรื่องโจทก์ผู้สลักหลังฟ้องไล่เบี้ย ผู้สั่งจ่ายมีอายุความ6 เดือน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเดิมจำเลยเช่าซื้อรถแทรกเตอร์ไปจากโจทก์ 1 คัน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2526 ในราคา 450,000บาท ชำระในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 50,000 บาท รวม 7 งวด โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้แก่โจทก์ไว้ เช็คงวดแรกลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2526งวดต่อไปทุกวันที่ 25 ของเดือนถัดไป ปรากฎตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อ เอกสารหมาย จ.2 เมื่อเช็คงวดแรกถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงยึดรถแทรกเตอร์คืน ต่อมาจำเลยนำเงินค่าเช่าซื้องวดแรกกับค่าเสียหายอีก 20,000 บาท รวม 70,000 บาท ไปชำระให้โจทก์และมีบุคคลอื่นไปทำสัญญาค้ำประกันไว้โจทก์จึงมอบรถให้จำเลยไปสำหรับเช็คงวดต่อมาธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินทุกฉบับจำเลยเคยนำเงินไปชำระให้โจทก์อีกสองครั้ง เป็นเงิน 30,000 บาทกับ 20,000 บาท และออกเช็คเพื่อชำระหนี้ไว้ คือเช็คพิพาท 2 ฉบับจำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2527 และ25 มีนาคม 2527 ปรากฎตามเอกสารหมาย จ. 5 จ. 6 ตามลำดับนอกจากนี้ยังมีเช็คของนายสัมฤทธิ์ เกาะทอง ซึ่งจำเลยนำไปชำระหนี้ให้โจทก์ไว้อีก 3 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท เช่นกันคือเช็คเอกสารหมาย จ.8, จ.9, จ.7 ลงวันที่ 25 เมษายน 252725 พฤษภาคม 2527 และ 25 มิถุนายน 2527 ตามลำดับ สำหรับเช็คพิพาทหมาย จ.5, จ.6 นั้นโจทก์ไปขายลดให้แก่ธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชย เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารกรุงเทพ จำกัดเรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงนำเงินไปชำระให้ธนาคารแล้วรับเช็คคืนมา ต่อมาวันที่5 พฤษภาคม 2527 โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและจำเลยได้รับไว้แล้ว ปรากฎตามเอกสารหมาย จ.10, จ.11 หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยเรียกให้ชำระหนี้ตามเช็คทั้งสองฉบับตามเอกสารหมาย จ.15, จ.16 แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเช็คทั้งสองฉบับมาเป็นมูลฟ้องในคดีนี้ ส่วนเช็คเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.9 โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินเช่นกัน
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เดิมจำเลยชำระหนี้ค่าเช่าซื้อด้วยเช็คเป็นงวดแต่รับเงินตามเช็คไม่ได้ สัญญาย่อมเลิกกันตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 6 โจทก์จึงได้เข้าครอบครองรถแทรกเตอร์ที่ให้เช่าซื้อ แต่ต่อมาเมื่อจำเลยนำเงินไปชำระหนี้และโจทก์ยอมรับชำระรวมทั้งรับเช็คพิพาททั้งสองฉบับไว้โดยยอมให้จำเลยรับรถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อคืนไป จึงถือได้ว่าโจทก์จำเลยยังคงตกลงปฎิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป โดยโจทก์สละข้อตกลงเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว จนกระทั่งเช็คพิพาททั้งสองฉบับเรียกเก็บไม่ได้ โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.10 สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกันนับแต่นั้น ดังนั้น เมื่อเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยชำระให้แก่โจทก์ก่อนเลิกสัญญากัน ถือได้ว่าเป็นค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชำระไว้แล้วด้วยเช็คแทนเงิน หาใช่ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระและค้างชำระอยู่ดังที่จำเลยอ้างไม่ แม้เช็คดังกล่าวจะรับเงินไม่ได้มูลหนี้ตามเช็คยังคงมีอยู่ไม่ระงับไปจนกว่าจะได้เงินตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดใช้หนี้ตามเช็คดังกล่าว ทั้งนี้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 ฉะนั้น เมื่อโจทก์นำเช็คทั้งสองฉบับไปขายลดไว้กับธนาคารและธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ โจทก์ได้นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคารและรับเช็คคืนมา โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คได้”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินตามเช็คสองฉบับจำนวน 100,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินถึงวันฟ้องเป็นเงินไม่เกิน 20,023.97 บาทและดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงิน 100,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

Share