คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3907/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ก. ว่า จำเลยบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข และข้อ 1 ข. ว่าหลังจากจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว จำเลยนี้ใช้กำลังประทุษร้าย กอดปล้ำ กระทำอนาจารผู้เสียหาย แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยหลังจากหลบหนีไปแล้วที่กลับมาบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอีก ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ ศาลก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนั้นซึ่งนอกเหนือจากฟ้องของโจทก์มาลงโทษจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 362,364, 365, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 281, 365 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 278, 281 อันเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2530 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา ได้มีคนร้าย 1 คนบุกรุกเข้าไปกระทำอนาจาร นางลำยอง ปานศิริ ผู้เสียหายต่อหน้าเด็กชายวิรุจน์ ปานศิริ บุตรผู้เสียหาย เมื่อคนร้ายหลบหนีไปแล้วสักครู่ต่อมาคนร้ายได้เดินขึ้นบันไดเข้ามาอีก ปัญหามีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่…พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ดังโจทก์ฟ้อง…
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานบุกรุกเป็นสองกระทงหรือไม่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปกระทำอนาจารผู้เสียหายและจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดสำเร็จเป็นกรรมหนึ่งแล้ว ครั้นผู้เสียหายนอนต่อ จำเลยได้เข้าไปในบ้านของผู้เสียหายอีกเป็นครั้งที่สองโดยมีเจตนากระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำอีกกรรมหนึ่ง จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกอีกกรรมหนึ่ง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องตามข้อ 1 ก. ว่าจำเลยบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข และตามข้อ 1 ข. ว่าหลังจากจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. แล้ว จำเลยนี้ได้บังอาจใช้กำลังประทุษร้าย กอดปล้ำ กระทำอนาจารผู้เสียหาย จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวได้แยกการกระทำว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายซึ่งเป็นความผิดตอนแรก และเมื่อจำเลยกระทำความผิดตอนแรกสำเร็จแล้วจำเลยได้กระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นความผิดตอนหลัง แต่เมื่อจำเลยหลบหนีไปแล้วและกลับมาบุกรุกเคหสถานของผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่งนั้น โจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยที่อ้างว่าเป็นความผิดไว้เมื่อฟ้องของโจทก์มิได้ระบุการกระทำของจำเลยดังกล่าวและข้อเท็จจริงปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ กรณีก็ไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากฟ้องของโจทก์มาลงโทษจำเลยได้…”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278และมาตรา 365 ประกอบกับมาตรา 364 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา278 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 1 ปี

Share