คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3892/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 3 มาบอกผู้เสียหายว่าจำเลยที่ 1 กับพวกจะมาปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ต่อมาอีกไม่กี่ชั่วโมง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถืออาวุธปืน จำเลยที่ 2 ถือมีดปลายแหลมเข้ามาในร้านผู้เสียหายพร้อมด้วยจำเลยที่ 4 กับพวก จำเลยที่ 1 จับแขนผู้เสียหายและถามถึงที่ซ่อนทรัพย์ แม้จำเลยทั้งสี่กับพวกมิได้แตะต้องตัวทรัพย์ของผู้เสียหายที่ตั้งใจจะเอาไปและทรัพย์ยังไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เก็บก็ตาม ถือว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ลงมือใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และเพื่อให้ผู้เสียหายยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339(1) และ (2) แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายได้หลบหนีออกจากร้านและร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสียก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐๘๓, ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๓๒, ๙๑ และ ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ และ ๗๒ ทวิ ริบของกลาง เว้นแต่อาวุธปืนลูกซองเบอร์ ๑๒ หมายเลขทะเบียน พช๖-๐๓๙๗๘ กับกระสุนปืนลูกซองเบอร์ ๑๒ จำนวน ๒ นัด ให้คืนเจ้าของกับให้นับโทษของจำเลยทั้งสี่ต่อจากโทษของจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๔ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๒๖๗/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดเพชรบูรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธทุกข้อหาและรับว่าเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๒๖๗/๒๕๒๙ ของศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ กลับให้การใหม่เป็นว่า ปฏิเสธเฉพาะข้อหาพยายามปล้นทรัพย์ ส่วนข้อหาอื่นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ และ๗๒ ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนจำคุก ๑ ปี ฐานพาอาวุธปืนจำคุก ๔ เดือน รวมจำคุก ๑ ปี ๔ เดือนจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้จำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑มีกำหนด ๘ เดือน อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยที่ ๑ มีไว้เป็นความผิดให้ริบ จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗๑ ให้ปรับ ๘๐ บาท จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับเป็นเงิน ๔๐ บาท ริบมีดของกลาง จำเลยที่ ๓มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗ และ ๗๒จำคุก ๑ ปี และปรับ ๓,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๖ เดือน ปรับ ๑,๕๐๐ บาท รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ มีกำหนด ๒ ปี อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางที่จำเลยที่ ๓ มีไว้ให้คืนแก่เจ้าของให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหาร่วมกันพยายามปล้นทรัพย์คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในข้อหาพยายามปล้นทรัพย์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามมาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคหนึ่งและ ๗๒ ทวิ วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ ๓ มีความผิดตามมาตรา ๗ และ ๗๒วรรคสามกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ และ ๘๓ จำคุกคนละ ๘ ปีจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี ประกอบด้วยมาตรา ๘๓ จำคุกคนละ ๑๒ ปี รวมจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๒ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าในวันเกิดเหตุเวลากลางวัน จำเลยที่ ๓ มาบอกผู้เสียหายว่าจำเลยที่ ๑กับพวกจะมาปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ต่อมาเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกาผู้เสียหายซึ่งอยู่ที่ร้านค้าของตนเพียงคนเดียวได้ออกไปถ่ายปัสสาวะที่หลังร้าน จำเลยทั้งสี่กับพวกอีก ๑ คน เข้ามาหาผู้เสียหายโดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถืออาวุธปืนลูกซองพก จำเลยที่ ๒ ถือมีดปลายแหลจำเลยที่ ๑ จับแขนผู้เสียหายพาเข้ามาในร้าน จำเลยอื่นอีก ๓ คนกับพวกก็เข้ามาในร้านด้วย จำเลยที่ ๑ ถามถึงที่ซ่อนทรัพย์ผู้เสียหายบอกว่าเก็บใส่กุญแจไว้ ลูกกุญแจอยู่ที่ภริยา จำเลยที่ ๓บอกผู้เสียหายว่าให้บอกที่ซ่อนทรัพย์ไปเพราะจำเลยที่ ๑ มิได้มาร้ายผู้เสียหายก็ไม่ยอมบอก พอมีจังหวะที่จะหนีได้ ผู้เสียหายก็วิ่งหนีออกไปทางหลังร้านและร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น จำเลยทั้งสี่กับพวกจึงพากันวิ่งหนีไป ในขณะนั้นผู้เสียหายเก็บทรัพย์ต่าง ๆที่โจทก์ระบุในฟ้องไว้ในร้านที่เกิดเหตุ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสี่กับพวกเข้ามาในร้านผู้เสียหายโดยมีเจตนาตั้งใจจะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่เก็บรักษาไว้ในร้านนั้นไป การที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ถืออาวุธปืน จำเลยที่ ๒ ถือมีดปลายแหลมเข้ามาในร้านดังกล่าวพร้อมจำเลยที่ ๔ กับพวก จำเลยที่ ๑ จับแขนผู้เสียหายและถามถึงที่ซ่อนทรัพย์เช่นนี้ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องจำเลยที่ ๓ มาบอกผู้เสียหายล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าจำเลยที่ ๑ กับพวกจะมาปล้นแล้ว แม้จำเลยทั้งสี่กับพวกมิได้แตะต้องตัวทรัพย์ของผู้เสียหายที่ตั้งใจจะเอาไปและทรัพย์ยังไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เก็บก็ตาม ก็ถือว่าจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ลงมือใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์และเพื่อให้ผู้เสียหายยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๓๙(๑) และ (๒) แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายได้หลบหนีออกจากร้านและร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์มาชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share