แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร ท. โดยโจทก์จำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้แก่ธนาคาร ท.โจทก์ได้ชำระแทนจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 724แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกันมีข้อความว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้ศ. และโจทก์มีการมอบเช็คไว้เป็นประกันเงินกู้ และตกลงจะผ่อนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวทุกเดือนจนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามเอกสารที่ทำต่อกันเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้น โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ในเอกสารนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด จำนวน 300,000 บาท โดยโจทก์จำนองที่ดินเป็นประกัน ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดโจทก์ได้ชำระแทนแล้วเรียกเงินดังกล่าวจากจำเลย จำเลยได้ชำระให้โจทก์เพียง 9,000 บาท ยังคงค้างชำระรวมต้นเงินและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 298,275 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมกับดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้จำนองที่ดินเพื่อประกันเงินกู้ให้แก่จำเลยจริง จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่ธนาคารที่จำเลยกู้ได้โจทก์จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้โดยโจทก์ยืนยันว่าจะไม่ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยเกี่ยวกับการค้ำประกัน แต่จะให้ผูกพันตามสัญญากู้ซึ่งจำเลยชำระให้แก่โจทก์แล้ว 9,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยไม่สามารถชำระได้โจทก์จึงนำคดีเกี่ยวกับการค้ำประกันมาฟ้อง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 291,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่าเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ชำระหนี้ให้ธนาคารแทนจำเลยไปจำนวน 300,000 บาท ครบถ้วนตามจำนวนที่จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยให้จำเลยใช้เงินคืนตามจำนวนที่โจทก์ได้ชำระให้แก่ธนาคารไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 724แต่โจทก์มิได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยดังกล่าว กลับตกลงกับจำเลยทำหนังสือสัญญาไว้ต่อกันตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความสรุปว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้นายเศรษฐวาล จงสถิตย์ไพบูลย์ และโจทก์เป็นเงิน 300,000บาท จำเลยได้มอบเช็คจำนวน 2 ฉบับ ฉบับละ 50,000 บาท ไว้เป็นประกันเงินกู้และจำเลยจะต้องผ่อนชำระเงินกู้ให้โจทก์เดือนละ3,000 บาท จนกว่าจะครบ กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้เดิมระงับไป ดังนั้น โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับจำเลยตามมูลหนี้ใหม่ในเอกสารหมาย ล.1 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.