แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับบริษัท ด. และบริษัท อ. ได้จดทะเบียนการค้าสำหรับงานก่อสร้างสะพานไว้กับกรมสรรพากรว่า “สาธรบริดจ์จอยเวนเจอร์”โดยมีอ. เป็นผู้มีอำนาจทำการแทน เช่นนี้ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่ากิจการ”สาธรบริดจ์จอยเวนเจอร์” ก็คือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลซึ่งจำเลยที่ 1 กับบริษัทในต่างประเทศอีกสองบริษัทร่วมกันกระทำในประเทศไทยนั่นเอง ดังนั้นเมื่อรถยนต์บรรทุกของโจทก์ตกลงไปในหลุมที่ “สาธรบริดจ์จอยเวนเจอร์” ขุดไว้อันเป็นการละเมิดตามฟ้อง เกิดขึ้นในกิจการที่เป็นธรรมดาของ”สาธรบริดจ์จอยเวนเจอร์” จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการละเมิดนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1050 โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1ได้ ทั้งการที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยค้ำจุน”สาธรบริดจ์จอยเวนเจอร์” สัญญาประกันภัยก็ผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบต่อวินาศภัยที่เกิดขึ้นตามฟ้องโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 298,844 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 1และที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ 1 และที่ 3ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกามีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 หรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์จะฟ้อง”สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” โดยนายเอก กรรณสูต เป็นจำเลยที่ 2ให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ฐานกระทำละเมิดตามฟ้องต่อโจทก์ และทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่า “สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์”มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายก็ตาม แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กับบริษัทดราก๊าจ เอต ทราโวพับบลิกส์ จำกัด และบริษัทอิมเทรชาเจนเนอรัล ดีคอนสดรัคเซิน อีตัลวี จำกัด ได้ไปจดทะเบียนการค้าสำหรับงานก่อสร้างสะพานตามฟ้องไว้กับกรมสรรพากรว่า”สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” โดยมีนายเอก กรรณสูต เป็นผู้มีอำนาจทำการแทน และโจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กับบริษัทดังกล่าวได้ร่วมกันจดทะเบียนการค้าต่อกรมสรรพากรโดยใช้ชื่อร่วมกันว่า”สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” โดยมีนายเอก กรรณสูต เป็นผู้ดำเนินการในการก่อสร้างสะพานตามฟ้อง จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้วย่อมเห็นได้ว่า กิจการ “สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” ก็คือห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลซึ่งจำเลยที่ 1 กับบริษัทในต่างประเทศอีกสองบริษัทร่วมกันกระทำในประเทศไทยนั่นเอง เมื่อการที่มิได้แสดงหรือติดตั้งเครื่องหมายหรือสัญญาณเพื่อให้ทราบว่าเป็นเขตก่อสร้างเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกของโจทก์ตกลงไปในหลุมที่”สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” ขุดไว้ อันเป็นการละเมิดตามฟ้อง เกิดขึ้นในกิจการที่เป็นธรรมดาของ “สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวนในการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการละเมิดนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1050 โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งการที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยค้ำจุน”สาธรบริดจ์ จอยเวนเจอร์” สัญญาประกันภัยก็ผูกพันจำเลยที่ 1 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบต่อวินาศภัยที่เกิดขึ้นตามฟ้องโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน