แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาขายฝากนาพิพาทไว้กับโจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเลยไม่นำเงินมาไถ่ ก็ให้โจทก์ทำนาเรื่อยไป การขายฝากจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น ที่โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย และการที่โจทก์ครอบครองจนกว่าจำเลยจะใช้เงินคืนเช่นนี้ ถึงจะนานสักกี่ปีก็ยังถือว่าครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่นั่นเอง แม้โจทก์จะมีชื่อในแบบ ส.ค.1 และเสียภาษีเงินบำรุงท้องที่มาก็ตาม ก็ต้องถือว่าทำแทนจำเลยเช่นกัน
กรณีดังกล่าว มิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาการครอบครอง ดังนั้น หากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตน ก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยว่าจะครอบครองเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณ ๑๑ ปี มานี้ จำเลยได้ขายขาดที่นา ๑ แปลงให้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้เข้าครอบครองทำนาและแจ้งแบบ ส.ค. ๑ ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ต่อมาเมื่อเดือน ๕ พ.ศ. ๒๕๐๖ จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ทางอำเภอรับรองการทำประโยชน์ที่นาพิพาทของโจทก์ โจทก์ได้ไปร้องคัดค้านจำเลยต่ออำเภอไว้แล้วการกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิครอบครองที่นาโจทก์ ขอให้พิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การต่อสู้ว่า เมื่อประมาณ ๑๑ ปีมานี้ จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่นาพิพาทไว้กับโจทก์เป็นจำนวนเงิน ๗๐๐ บาท แต่จำเลยมิได้ขายขาดนาพิพาทนี้ให้แก่โจทก์ดังที่กล่าวอ้าง ข้อความตอนท้ายในหนังสือสัญญาขายฝากซึ่งมีความว่า จำเลยขายขาดที่นาดังกล่าวให้โจทก์ รวมทั้งลายเซ็นชื่อของจำเลยนั้น โจทก์ทำปลอมขึ้นทั้งสิ้น จำเลยมอบนาพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยในต้นเงิน ๗๐๐ บาท จนกว่าจำเลยจะไถ่ถอนการขายฝาก ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยมอบนาพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ย การที่โจทก์เข้าครอบครองที่นาดังกล่าว จึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย คดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองนาพิพาท พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยขายขาดนาพิพาทให้แก่โจทก์ตามความตอนท้ายในหนังสือสัญญาขายฝาก แม้การขายฝากจะเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้เข้าครอบครองเป็นเวลา ๑๐ ปีเศษ ทั้งยังได้แจ้งการครอบครองและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ถือได้ว่าโจทก์ได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ และ ฟังว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๗๗ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในนาพิพาทของโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาไม่เชื่อว่าได้มีการขายขาดนาพิพาทดังที่โจทก์กล่าวอ้าง และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่นาดังกล่าวไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๗๐๐ บาท โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ก็ให้โจทก์ทำนาเรื่อยไป แต่หนังสือสัญญาดังกล่าวหาได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ การขายฝากจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ ดังนั้น ที่โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องจำเลยสละเจตนาครอบครอง หากโจทก์จะถือว่าครอบครองเพื่อตนก็ต้องแสดงเจตนาต่อจำเลยตามมาตรา ๑๓๘๑ การที่โจทก์ครอบครองจนกว่าจำเลยใช่เงินคืนเช่นนี้ ถึงจะนานสักกี่ปีก็ยังถือว่าครอบครองแทนจำเลยผู้เป็นเจ้าของนาพิพาทอยู่นั่นเอง แม้โจทก์จะมีชื่อในแบบ ส.ค. ๑ และเสียภาษีบำรุงท้องที่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าทำแทนจำเลยเช่นเดียวกัน พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น