คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นสินค้าผิดแบบโจทก์มีสิทธิที่จะขอส่งกลับคืนได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 7ของประกาศกรมศุลกากรที่ 9/2525 โจทก์ได้แจ้งเรื่องอุปกรณ์สินค้าที่นำเข้ามาผิดแบบให้จำเลยทราบทันที และขออนุมัติส่งคืนให้แก่ผู้ขายหลังจากทำการตรวจสอบสินค้าแล้ว แต่จำเลยมิได้มีคำสั่งเรื่องที่โจทก์ขอส่งสินค้ากลับคืนไปแต่อย่างใดเจ้าหน้าที่ของจำเลยเพิ่งจะมีคำสั่งแจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าเข้ามา ดังนั้นการที่โจทก์ไม่สามารถส่งสินค้ากลับออกไปภายใน 1 ปีได้นั้น จึงมิใช่ความผิดของโจทก์โจทก์ยอมมีสิทธิขอคืนเงินอากรที่ชำระให้จำเลยพร้อมดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าอากรพร้อมดอกเบี้ยหรือใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอคืนภาษีอากรเพราะโจทก์นำสินค้าที่จะส่งกลับต่างประเทศส่งออกไปเกิน 1 ปีนับแต่วันนำเข้า ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินอากรพร้อมดอกเบี้ยจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในกรณีนี้ได้ความว่า โจทก์นำสินค้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหรืออุปกรณ์ประกอบเพื่อใช้ผลิต หรือประกอบเป็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้เข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2528 หลังจากโจทก์ชำระภาษีอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการลดอัตราอากรที่กำหนดไว้ในประกาศกรมศุลกากรที่ 9/2525 ครบถ้วนและรับสินค้าดังกล่าวไปจากจำเลยแล้วโจทก์ได้ตรวจพบว่ามอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาดังกล่าว ผิดแบบไปจากที่โจทก์สั่งซื้อกล่าวคือโจทก์สั่งซื้อมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดที่มีความเร็ว 4 จังหวะแต่ผู้ขายส่งมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าชนิดที่มีความเร็ว 2 จังหวะ จึงไม่สามารถใช้ประกอบเป็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้สำหรับรุ่นทีเอ็มเอ็กซ์380 ตามสูตรการผลิตที่ได้ยื่นไว้ต่อจำเลยได้ โจทก์จึงได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2528 และขออนุมัติส่งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผิดแบบดังกล่าวกลับคืนไปให้ผู้ขาย ตามข้อ 7 แห่งประกาศกรมศุลกากรที่ 9/2525 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.15แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในประกาศดังกล่าวโดยถูกต้องแล้ว ซึ่งตามคำนายจุฬาธรพยานจำเลยได้ยืนยันว่าโจทก์ยื่นหนังสือเอกสารหมาย จ.15 ต่อจำเลยเพื่อส่งสินค้ากลับคืนออกไปแบบรีเอ็กซ์ปอร์ต นอกจากนี้ตามคำนางสาวจรรยาโรจนดิลก เจ้าพนักงานกองพิธีการและประเมินอากรก็เบิกความสนับสนุนคำนายจุฬาธรว่า โจทก์ได้แจ้งไว้ในเอกสารหมาย จ.15ว่า โจทก์จะส่งสินค้าผิดแบบกลับคืนออกไป หรือส่งสินค้าแบบรีเอ็กซ์ปอร์ตข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าหนังสือของโจทก์เอกสารหมายจ.15 โจทก์ได้ขอให้อธิบดีกรมศุลกากรอนุมัติให้โจทก์ส่งสินค้าผิดแบบกลับคืนออกไปแบบรีเอ็กซ์ปอร์ต แต่ก่อนที่โจทก์จะไปยื่นคำร้องที่กองตรวจสินค้าขาออกเพื่อส่งสินค้าที่ผิดแบบกลับคืนออกไปตามพิธีการของศุลกากรนั้น ตามประกาศกรมศุลกากรดังกล่าวข้อ 7 ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ชัดว่า “…จะต้องรีบแจ้งให้กรมศุลกากรทราบโดยทันที และจะต้องส่งกลับออกไปหรือทำลาย หรือดำเนินการอื่นตามแต่อธิบดีกรมศุลกากรจะเห็นสมควร” ซึ่งหมายความว่า เมื่อโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้วว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาผิดแบบไม่สามารถใช้ผลิตเป็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้ได้ อธิบดีกรมศุลกากรจะต้องมีคำสั่งเสียก่อนว่า จะอนุมัติให้โจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวกลับคืนออกไปตามที่โจทก์มีหนังสือขออนุมัติมา หรือจะให้โจทก์ทำลายหรือให้ดำเนินการอย่างไร หลังจากอธิบดีกรมศุลกากรมีคำสั่งอนุมัติให้โจทก์ส่งสินค้านั้นกลับคืนออกไป และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์จึงจะไปดำเนินการยื่นคำร้องต่อกองตรวจสินค้าขาออกขอส่งสินค้านั้นกลับคืนออกไปแบบรีเอ็กซ์ปอร์ตได้ ส่วนการที่เจ้าพนักงานกองพิธีการและประเมินอากร ได้ทำการประเมินอากรขาเข้า ภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มโดยเห็นว่า เมื่อสินค้าของโจทก์ที่นำเข้ามาผิดแบบ จึงไม่ได้รับสิทธิลดอัตราอากรตามประกาศกรมศุลกากรดังกล่าว ก็ไม่ทำให้หนังสือของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.15 ที่โจทก์ขอส่งสินค้าที่ผิดแบบคืนกลับออกไปนั้นเป็นอันถูกยกเลิกไป ดังนั้นเมื่อโจทก์ยอมชำระค่าภาษีอากรต่าง ๆ ดังกล่าวเพิ่มเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2528 ตามที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินแล้วก็น่าจะดำเนินการให้อธิบดีกรมศุลกากรมีคำสั่งว่า จะอนุมัติให้โจทก์ส่งสินค้าผิดแบบคืนกลับออกไปตามที่โจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย จ.15 ร้องขอหรือไม่เจ้าพนักงานของจำเลยกลับดำเนินการอย่างอื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยก็ตาม แต่ก็ดำเนินการล่าช้าดังจะเห็นได้จากบันทึกของนายชยุติ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมศุลกากรที่ได้บันทึกตำหนิเกี่ยวกับการปฏิบัติงานล่าช้าของผู้อำนวยการกองคดีกับผู้อำนวยการกองพิธีการฯ ไว้ และเพิ่งมีคำสั่งอนุมัติให้โจทก์ส่งสินค้าผิดแบบกลับคืนออกไปแบบรีเอ็กซ์ปอร์ตได้ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2529 ปรากฏตามเอกสารหมายจ.33 และนายศิริ ชำนิวิกย์กรณ์ หัวหน้าฝ่ายพิธีการส่งออก มีบันทึกถึงนายอนันท์ แต่งเจริญสุข ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาเรื่องผู้ขอส่งสินค้าออกแบบรีเอ็กซ์ปอร์ต ให้แจ้งโจทก์ไปดำเนินการเรื่องส่งสินค้าผิดแบบกลับคืนออกไปแบบรีเอ็กซ์ปอร์ตเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2529 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.23 และโจทก์เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าวจากนายอนันท์ในวันที่ 31 มกราคม 2529นั่นเอง ซึ่งเป็นวันที่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าผิดแบบเข้ามาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมิใช่ความผิดของโจทก์เพราะโจทก์ได้ยื่นหนังสือขออนุมัติอธิบดีกรมศุลกากรเพื่อส่งสินค้าที่ผิดแบบกลับคืนออกไป ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2528และโจทก์ได้ชำระภาษีอากรต่าง ๆ ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยทำการประเมินเพิ่มเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2528 ซึ่งหากนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าภาษีอากรต่าง ๆ เพิ่มดังกล่าวถึงวันที่ครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ โจทก์นำสินค้าผิดแบบเข้ามาแล้วเจ้าพนักงานฝ่ายต่าง ๆ ของจำเลยมีเวลาดำเนินการถึง 8 เดือนเศษแสดงให้เห็นชัดว่า การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอส่งสินค้าผิดแบบกลับคืนออกไปต่อกองตรวจสินค้าขาออก เกินกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าผิดแบบเข้ามา เป็นเพราะเจ้าพนักงานฝ่ายและกองต่าง ๆ ของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเอง โจทก์จึงมีสิทธิขอคืนภาษีอากรต่าง ๆ เป็นจำนวนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้องได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินภาษีอากรแก่โจทก์ชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share