แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การจำเลยที่ว่า จำเลยได้จ่ายเช็คพิพาทให้แก่ ส.และต่อมาได้มีการหักกลบลบหนี้กัน เช็คพิพาททั้งสามฉบับไม่มีมูลหนี้ต่อกันอีกการที่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาของส. ได้นำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยโดยอ้างว่าได้รับโอนมาจาก ส.นั้น.จะเห็นได้ชัดแจ้งว่าโจทก์กับส. ได้คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยเพื่อสมคบกันเรียกเงินจากจำเลยอีกนั้น พอเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า เมื่อโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจาก ส. มาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยนั้น โจทก์รู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันแล้วแต่โจทก์รู้เห็นเป็นใจกับ ส. บุตรสาวของตนอันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย คำให้การของจำเลยเช่นนี้เป็นการแสดงโดยชัดแจ้งถึงข้อต่อสู้ของจำเลยรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้ว
โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจาก ส.. โดยรู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูลหนี้ต่อกัน การที่โจทก์เอาเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยจำเลยจึงยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบด้วย มาตรา989
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ออกเช็ค 5 ฉบับเพื่อชำระหนี้แก่นางเสาวณีนางเสาวณีได้นำเช็คดังกล่าวมาแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้ เมื่อทวงถามแล้วจำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามเช็คบางฉบับ คงเหลือเช็ค 3 ฉบับที่ยังไม่ชำระ ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คทั้ง 3 ฉบับนี้พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เช็คตามฟ้องทั้งสามฉบับ จำเลยกับนางเสาวณีได้หักกลบลบหนี้กันไปแล้ว จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันอีก การที่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาของนางเสาวณีได้นำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยโดยอ้างว่าได้รับโอนมาจากนางเสาวณีนั้นจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าโจทก์กับนางเสาวณีได้คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยเพื่อสมคบกันเรียกเงินจากจำเลยอีก เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เช็คพิพาททั้งสามฉบับได้มีการหักกลบลบหนี้กันแล้วระหว่างจำเลยกับนางเสาวณีก่อนที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยมิได้แสดงให้ชัดแจ้งว่าการโอนเช็คระหว่างโจทก์กับนางเสาวณีได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยอย่างไร ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง จำเลยจะนำสืบในข้อนี้ไม่ได้ ทั้งทางนำสืบของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าการโอนเช็คพิพาทระหว่างโจทก์กับนางเสาวณีได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉลพิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยพอเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าเมื่อโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากนางเสาวณีนั้นโจทก์รู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันแล้ว แต่โจทก์ยังรับโอนเช็คพิพาทมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยอีก โดยรู้เห็นเป็นใจกับนางเสาวณีบุตรสาวของตน อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย คำให้การของจำเลยเช่นนี้เป็นการแสดงโดยชัดแจ้งถึงข้อต่อสู้ของจำเลยรวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองแล้ว และฟังข้อเท็จจริงว่า ตอนที่โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากนางเสาวณีนั้น โจทก์รู้อยู่แล้วว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ต่อกันแล้วจริงการที่โจทก์ยังเอาเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย จำเลยจึงยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น