คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3817/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การมาปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลางของโจทก์ บางวันโจทก์มาปฏิบัติหน้าที่ช่วงเช้า บางวันมาปฏิบัติหน้าที่ช่วงบ่ายแต่โจทก์รายงานต่อจำเลยและผู้บังคับบัญชาว่า ปฏิบัติหน้าที่ทั้งวันเป็นประจำและเป็นเช่นนี้ตลอดทั้ง ๆ ที่มิได้มาปฏิบัติงานทั้งวัน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้โจทก์จะมิได้มาปฏิบัติหน้าที่ทั้งวัน แต่โจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ต้องกลับไปปฏิบัติงานให้แก่จำเลยในช่วงเวลาส่วนที่เหลือหลังจากเสร็จการพิจารณาคดี กรณีจึงไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่ โดยโจทก์ยกเอามติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นมาสนับสนุน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่โจทก์ยกขึ้นมานั้น มิได้มีหรือบัญญัติไว้ดังที่โจทก์อ้างหรืออาจแปลความเช่นนั้นได้ เป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจและถือเอาเองจึงเป็นการอุทธรณ์ในสิ่งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้ อันจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งว่าโจทก์มิได้ละทิ้งหน้าที่การงานอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยเข้าทำงานเมื่อวันที่1 ตุลาคม 2518 ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งเสมียนประจำสำนักงานกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,680 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 27 ของเดือนจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2532 ในขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลาง โดยโจทก์มิได้กระทำความผิดใด ๆ จำเลยอ้างเหตุในการเลิกจ้างว่า โจทก์แจ้งเท็จเกี่ยวกับเวลาปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบ โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบเพียงครึ่งวันแต่แจ้งว่าไปปฏิบัติหน้าที่เต็มวัน จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์เป็นประธานสหภาพแรงงานพนักงานการบินไทย โจทก์เป็นผู้นำในการคัดค้านและประท้วงในกรณีจำเลยยุติการดำเนินงานร้านค้าปลอดภาษีโจทก์คัดค้านการย้ายกัปตันชูศักดิ์ พาชัยยุทธ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 14,496,461.07 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 7,680 บาท ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่และเงินเดือนไม่น้อยกว่าเดิม ให้นับอายุการทำงานของโจทก์ต่อเนื่องกันและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่โจทก์พึงเคยได้รับแต่งตั้งวันเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามปกติ
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากระหว่างเดือนกรกฎาคม 2526 ถึงเดือนธันวาคม 2531 ขณะที่โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานกลาง โจทก์ได้แจ้งเท็จต่อจำเลยว่า โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลแรงงานกลางเต็มวันทั้ง ๆ ที่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลแรงงานกลางเพียงครึ่งวันอันเป็นการผิดวินัยฐานละทิ้งหน้าที่และเป็นการแจ้งเท็จต่อจำเลยการพิจารณาการเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขึ้นพิจารณากรณีของโจทก์ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ การเลิกจ้างมิใช่เพราะโจทก์เป็นประธานสหภาพแรงงานพนักงานการบินไทยหรือเพราะโจทก์เป็นผู้นำในการคัดค้านและประท้วงกรณีที่จำเลยมีคำสั่งยุติการดำเนินงานร้านค้าปลอดภาษีหรือเพราะโจทก์ร่วมคัดค้านคำสั่งของจำเลยที่สั่งย้ายกัปตันชูศักดิ์ พาชัยยุทธ ระหว่างวันที่ 4 ถึง 8 มิถุนายน 2527 โจทก์ลงหลักฐานในบัตรลงเวลาทำงานว่าไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ แต่ศาลแรงงานกลางยืนยันว่าโจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศาลเฉพาะในวันที่ 4 และ 8 มิถุนายน 2527เท่านั้น ระหว่างวันที่ 5 ถึง 7 มิถุนายน 2527 จึงเป็นการแจ้งเท็จและละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกัน ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยข้อ 6 จำเลยมีอำนาจปลดโจทก์ทันที การที่จำเลยเลิกจ้างโดยเหตุไม่ไว้วางใจโดยให้ได้รับเงินบำเหน็จและค่าชดเชยตามกฎหมายย่อมเป็นคุณแก่โจทก์มากอยู่แล้ว เป็นการเลิกจ้างโดยชอบ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายและไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานเนื่องจากไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ การกระทำของโจทก์เป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์รายงานเท็จต่อจำเลยและผู้บังคับบัญชา ละทิ้งหน้าที่ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีเหตุสมควร มิใช่เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายให้แก่โจทก์ไม่ต้องรับโจทก์เข้าทำงาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า การมาปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานกลางของโจทก์บางวันโจทก์มาปฏิบัติหน้าที่ช่วงเช้า บางวันมาปฏิบัติหน้าที่ช่วงบ่าย แต่โจทก์รายงานต่อจำเลยและผู้บังคับบัญชาว่าปฏิบัติหน้าที่ทั้งวันเป็นประจำและเป็นเช่นนี้มาตลอดทั้ง ๆที่มิได้มาปฏิบัติงานทั้งวัน ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า แม้โจทก์จะมิได้มาปฏิบัติหน้าที่ทั้งวัน แต่โจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ต้องกลับไปปฏิบัติงานให้แก่จำเลยในช่วงเวลาส่วนที่เหลือหลังจากเสร็จการพิจารณาคดี กรณีจึงไม่เป็นการละทิ้งหน้าที่โดยโจทก์ยกเอามติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ขึ้นมาสนับสนุนซึ่งมติคณะรัฐมนตรีและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่โจทก์ยกขึ้นมานั้น มิได้มีหรือบัญญัติไว้ดังที่โจทก์อ้างหรืออาจแปลความเช่นนั้นได้ เป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจและถือเอาเอง จึงเป็นการอุทธรณ์ในสิ่งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้อันจะนำไปสู่ข้อโต้แย้งว่าโจทก์มิได้ละทิ้งหน้าที่การงานอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลแรงงานกลางรับอุทธรณ์มาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์

Share