คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3810/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นที่จำเลยยื่นฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจและมีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกา เพราะ ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 232 ให้อำนาจศาลชั้นต้นไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลฎีกาเพื่อสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาเสียเองเป็นการไม่ชอบ และเมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ต่อมาศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวอาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาหรือไม่ แล้วมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งไม่รับฎีกา การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้จำนวน ๑๖๒,๐๙๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๑ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๖๐,๙๒๙.๔๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๑) ต้องไม่เกิน ๑,๑๖๑.๕๙ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่รับรองให้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ต่อมาวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยทั้งสองไม่วางเงินให้ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ จึงไม่รับคำร้อง ต่อมาวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๒ ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองไม่วางเงินให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ไม่รับคำร้อง
ต่อมาวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นฉบับวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ และฉบับวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๓ ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๒ หาจำต้องให้จำเลยวางเงินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ ซึ่งเป็นวิธีการในชั้นอุทธรณ์ไม่
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองฉบับวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๓ และให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๓ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ต่อมาวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “จำเลยไม่วางเงินให้ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ จึงไม่รับคำร้อง…” ต่อมาวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและมีคำสั่งใหม่เป็นว่า ให้ส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองส่งไปยังศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องฉบับนี้ว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นส่งอุทธรณ์ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิจารณาสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่รับวินิจฉัยให้เพราะเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นที่จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ศาลชั้นต้นมีอำนาจตรวจและมีคำสั่งรับหรือไม่รับฎีกา เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ ประกอบกับมาตรา ๒๓๒ บัญญัติให้อำนาจศาลชั้นต้นไว้ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา และจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลฎีกาเพื่อสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๒ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเสียเองจึงเป็นการไม่ชอบ อย่างไรก็ตามเมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งต่อมาอันเนื่องมาจากคำสั่งไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น ศาลฎีกาเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวอาจขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้หรือไม่ แล้วมีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๓ จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยรวดเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๓ ให้เสร็จไป พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกานั้น ผู้ยื่นคำร้องมีหน้าที่ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ ซึ่งนำมาใช้ในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗ คดีนี้จำเลยทั้งสองเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางต่อศาลชั้นต้น มิได้นำเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ มาวางหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น คำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแก่โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท และให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองฉบับลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๓ ค่าคำร้องให้เป็นพับ.

Share