คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการผลิตยาแผนโบราณตาม พระราชบัญญัติยานั้นนอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นต้องเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้วตามมาตรา 72(4) หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้วตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้ หากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 76(1) โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ และเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตนตามมาตรา 47(2) แล้ว จึงจะสามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจำเลยที่ 1ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตยาแผนโบราณตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเภสัชกรรมส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรม และเภสัชกรรม การที่จำเลยทั้งสองได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณเป็นยาเม็ดลูกกลอนของกลาง จำนวน 2 ถุง ซึ่งมีผู้อื่นมาว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองผลิต และยาของกลางมีส่วนผสมของมหาหิงคุ์ซึ่งถือว่าเป็นยาแผนโบราณ โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งจำเลยมิได้ผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเอง การที่จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน แม้จำเลยทั้งสอง จะได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตาม พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510มาตรา 47(2) และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงไม่ได้ใบรับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาฯมาตรา 72(4),79,122,123 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม แม้ขณะ ป.ลงชื่อในคำร้องทุกข์ ขณะนั้นรายละเอียดต่าง ๆยังไม่ได้กรอกข้อความลงไป และ ป.ไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่า ป.เป็นผู้ได้ตรวจค้นพบยาของกลางและได้บันทึกการยึดยาไว้ เมื่อผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางเป็นเนื้อที่เยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่งเป็นยาแผนโบราณ ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ ป.ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี ดังนั้น เมื่อป.ได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการจะสอบสวนจำเลยในความผิดฐานใดนั้นย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวน ดังนั้นการสอบสวนจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจทำการแทนจำเลยทั้งสองเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณจากผู้อนุญาตตามกฎหมาย เมื่อระหว่างวันที่ 19 สิงหาคม 2534 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2534 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตยาโดยยาดังกล่าวมีส่วนผสมเนื้อเยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ ซึ่งเป็นยาแผนโบราณตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เป็นยาเม็ดลูกกลอนใช้ชื่อว่ายาเทวดา จำนวน 1 ถึง และยาเม็ดลูกกลอนไม่มีชื่อจำนวน 1 ถุง ซึ่งเป็นยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและจำเลยทั้งสองไม่นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และไม่ใช่เป็นกรณีที่ได้รับการยกเว้นอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 4, 72(4),79, 122, 123, 126 พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522มาตรา 3 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72(4), 79, 122, 123เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษหนักเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา 122 ให้ปรับจำเลยที่ 1จำนวน 5,000 บาท ให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือนและปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ส่วนจำเลยที่ 2 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ผลิตยาแผนโบราณตามสำเนาใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเภสัชกรรม จำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรมและเภสัชกรรมจำเลยทั้งสองได้ดำเนินการผลิตยาแผนโบราณเป็นยาเม็ดลูกกลอนจำนวน 2 ถุง ซึ่งมีผู้อื่นมาว่าจ้างให้จำเลยทั้งสองผลิตตามใบรับบดยาผงและปั๊มเม็ด กับรายการส่วนผสมเจ้าพนักงานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจค้นสถานการค้าของจำเลยที่ 1 พบยาแผนโบราณดังกล่าวเมื่อนำไปตรวจสอบแล้วพบว่ายาของกลางมีส่วนผสมของมหาหิงคุ์ซึ่งถือว่าเป็นยาแผนโบราณโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งจำเลยมิได้ผลิตเพื่อรักษาคนไข้ของตนเอง
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่าในการผลิตยาแผนโบราณตามพระราชบัญญัติยานั้น นอกจากผู้ผลิตจะต้องได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งแล้ว ยังต้องปรากฏว่ายาแผนโบราณที่จะผลิตนั้นเองเป็นยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้ว ตามมาตรา 72(4) หรือผู้ผลิตได้นำตำรับยานั้นมาขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว ตามมาตรา 79 จึงจะผลิตยานั้นได้ อย่างไรก็ตามหากเป็นการปรุงยาตามตำราที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 76(1) โดยผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณและเป็นการทำเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน ตามมาตรา 47(2) แล้ว จึงจะสามารถผลิตยานั้นได้โดยไม่ต้องรับใบอนุญาตจากผู้อนุญาตตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมิได้ผลิตยาของกลางเพื่อขายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน แม้จำเลยทั้งสองจะได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ กรณีก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 47(2)และเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและไม่นำตำรับยาไปขอขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงไม่ได้ใบรับอนุญาตจากผู้อนุญาตให้ผลิตยาแผนโบราณได้ตามมาตรา 46 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองจึงต้องมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อต่อมาว่าการสอบสวนไม่ชอบเพราะนายประธาน ประเสริฐวิทยาการเบิกความว่า ขณะลงชื่อในคำร้องทุกข์เอกสารหมาย จ.9 รายละเอียดต่าง ๆ ยังไม่ได้กรอกข้อความลงไป ไม่ทราบว่าจะแจ้งความให้ดำเนินคดีจำเลยในความผิดฐานใดในประเด็นนี้นายประธานเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ได้ตรวจค้นพบยาของกลางและได้บันทึกการยึดยาไว้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8เมื่อผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางเป็นเนื้อเยื่อของพืชและมหาหิงคุ์ซึ่งเป็นยาแผนโบราณผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายให้ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีตามเอกสารหมาย จ.9ร้อยตำรวจเอกทรงธรรม ศรีกาญจนา พนักงานสอบสวนเบิกความว่า นายประธานได้มาร้องทุกข์และนำเอกสารหมายจ.1 ถึง จ.8 มามอบให้ เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายประธานได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนการจะสอบสวนจำเลยทั้งสองในความผิดฐานใดนั้น ย่อมเป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการต่อไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการสอบสวนดังนั้นการสอบสวนจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share