แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินให้ ฉ. และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง จำเลยร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ทั้งแปลงก่อน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะแบ่งให้ ฉ. ครึ่งหนึ่งภายหลัง และจะระบุข้อตกลงไว้ในหนังสือสัญญาให้ด้วย โจทก์จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญาให้ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่แบ่งที่ดินให้ ฉ. มิได้ระบุข้อตกลงไว้ในสัญญาให้ และได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จำนองที่พิพาทไว้กับธนาคาร สัญญาให้จึงไม่สมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนอง โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และแบ่งที่พิพาทที่ไถ่ถอนแล้วให้ ฉ. ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ ในกรณีที่โจทก์ชนะคดีและจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจะด้วยเหตุใดก็ตาม โจทก์ก็อาจไถ่ถอนที่ดินพิพาทอันมีผลผูกพันส่วนที่จะยกให้ ฉ. เสียเอง แล้วมาฟ้องเรียกร้องเอาค่าไถ่ถอนคืนจากจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ สำหรับผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจร้องสอดหรืออาจถูกเรียกให้เข้ามาในคดีนี้ได้อยู่แล้ว หรือคู่กรณีจะเลือกฟ้องร้องกันใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้
ความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอก็คือต้องการให้จำเลยโอนที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้ ฉ. โดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์รับที่ดินพิพาทไว้โดยมีข้อตกลงดังกล่าว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาที่จะต้องโอนที่ดินให้ ฉ. ตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่ ฉ. จะรับการให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี หาทำให้คำขอของโจทก์บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีบุตร ๒ คน คนแรกชื่อนายเฉลิม พงษ์ประเสริฐ คนที่สองคือจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นภริยาของจำเลยที่ ๒ โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑๙ โจทก์ต้องการยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายเฉลิมและจำเลยที่ ๑ คนละครึ่ง จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์โดยพาโจทก์ไปที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน ขอให้โจทก์พิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือลงในช่องผู้ให้ในหนังสือสัญญาให้ที่ดิน จำเลยที่ ๑ บอกว่าให้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ทั้งแปลงก่อน แล้วจำเลยที่ ๑ จะแบ่งให้นายเฉลิมครึ่งหนึ่งภายหลัง และจะระบุข้อตกลงไว้ในหนังสือสัญญาให้ โจทก์จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญาให้ เมื่อประมาณ ๑ เดือนเศษมานี้ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ยังไม่แบ่งที่ดินให้นายเฉลิมตามข้อตกลง จึงบอกให้จำเลยที่ ๑ จัดการตามข้อตกลง จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธว่าไม่มีข้อตกลงดังกล่าว โจทก์จึงไปดูหนังสือให้ที่สำนักงานทะเบียนที่ดิน จึงทราบว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ระบุข้อตกลงดังกล่าวไว้ในสัญญาให้ และจำเลยที่ ๑ ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสามีจำนองที่พิพาทไว้กับธนาคาร ยังไม่ได้ไถ่ถอนจนบัดนี้ สัญญาให้จึงไม่สมบูรณ์
ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองที่พิพาทโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการไถ่ถอน และแบ่งที่พิพาทที่ไถ่ถอนแล้วให้แก่นายเฉลิมครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการให้ ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองมิได้หลอกลวงโจทก์ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญาให้ และไม่เคยตกลงว่าจะแบ่งที่พิพาทให้นายเฉลิม ฯลฯ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดการชี้สองสถาน และงดสืบพยาน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์ได้ขอมาในคำขอท้ายฟ้องแล้วว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนั้น ในกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จะด้วยเหตุใดก็ตาม โจทก์ก็อาจไถ่ถอนที่ดินพิพาทอันมีผลผูกพันส่วนที่จะยกให้นายเฉลิมเสียเอง แล้วมาฟ้องเรียกร้องเอาค่าไถ่ถอนดังกล่าวคืนจากจำเลยทั้งสองเป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ การที่โจทก์ระบุในคำขอท้ายฟ้องแต่เพียงว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะทำให้คำขอของโจทก์บังคับได้แล้ว ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ก็อาจร้องสอดหรืออาจถูกเรียกเข้ามาในคดีนี้ได้อยู่แล้ว หรือคู่กรณีจะเลือกฟ้องร้องกันใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ กรณีดังกล่าวหาทำให้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ให้ำจเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนอง บังคับไม่ได้แต่ประการใดไม่ ตามความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอนี้ก็คือ โจทก์ต้องการให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งให้แก่นายเฉลิม โดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญารับให้ที่ดินพิพาทไว้กับโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยที่ ๑
จะโอนที่ดินพิพาทให้นายเฉลิมครึ่งหนึ่งในภายหลังจริงดังที่โจทก์บรรยายฟ้องแล้ว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาดังกล่าวที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่นายเฉลิมตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่นายเฉลิมจะรับให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี ซึ่งหามีผลทำให้คำขอของโจทก์ในประเด็นนี้บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่
พิพากษายืน