แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯจะมีผลเป็นการจัดตั้งศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองในภูมิภาคขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองก็ตาม แต่ศาลปกครองเหล่านั้นจะเปิดทำการเมื่อใดต้องเป็นไปตามประกาศของประธานศาลปกครองสูงสุด เมื่อยังไม่มีประกาศดังกล่าวก็ต้องถือว่ายังไม่มีศาลปกครองกลางที่จะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ได้มิฉะนั้นสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องหน่วยราชการหรือหน่วยงานของรัฐย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง แม้โจทก์จะใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ก็ตาม แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงการร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีปกครองต่อศาล ศาลยุติธรรมชอบที่จะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินรวม 24 แปลง มีเนื้อที่รวมกันประมาณ 1,584 ตารางวา ถูกเวนคืนเพื่อสร้างหรือขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 36 ทั้งหมด คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินให้โจทก์ในราคาตารางวาละ 6,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,504,000 บาท ซึ่งไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 2 ขอให้เพิ่มเงินค่าทดแทนเป็นตารางวาละ 45,000 บาท จำเลยที่ 2วินิจฉัยให้เพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินเป็นตารางวาละ 22,000 บาท ซึ่งไม่ถูกต้องโจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนเพิ่มอีกตารางวาละ 23,000 บาท รวมเป็นเงิน36,432,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินซึ่งโจทก์ขอคิดเพียงร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2539 เป็นต้นไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 44,449,535.35 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในต้นเงิน 36,432,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว มีคำสั่งว่าขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2542 คดีของโจทก์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 9และตามมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนั้นบัญญัติว่าบรรดาคดีที่ได้ยื่นฟ้องหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอื่นอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ให้ศาลนั้นดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไปจนคดีนั้นถึงที่สุด โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2542ภายหลังวันที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 ใช้บังคับแล้ว ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 271 จึงไม่มีอำนาจรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ไม่รับฟ้อง คืนคำฟ้องและคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 มาตรา 8 บัญญัติว่า “ให้จัดตั้งศาลปกครองสูงสุดขึ้นมีที่ตั้งในกรุงเทพมหานครหรือในจังหวัดใกล้เคียง
ให้จัดตั้งศาลปกครองกลางขึ้นมีที่ตั้งในกรุงเทพมหานครหรือในจังหวัดใกล้เคียงโดยมีเขตตลอดท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรีจังหวัดปทุมธานี จังหวัดราชบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดสมุทรสาคร”
และความในวรรคสุดท้ายมีว่า “ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลางและศาลปกครองในภูมิภาค จะเปิดทำการเมื่อใด ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดวันเปิดทำการของศาลปกครอง”
ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแสดงว่า ในวันที่ 11 ตุลาคม 2542อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 มีผลบังคับใช้ ได้มีการจัดตั้งศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลางและศาลปกครองในภูมิภาคขึ้นแล้ว เพื่อทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ แต่ศาลปกครองเหล่านั้นจะเปิดทำการเมื่อใดต้องเป็นไปตามประกาศของประธานศาลปกครองสูงสุดที่จะกำหนดวันเปิดทำการของศาลปกครองนั้น ๆ เมื่อประธานศาลปกครองสูงสุดยังมิได้ประกาศกำหนดให้ศาลปกครองกลางเปิดทำการในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องก็ต้องถือว่ายังไม่มีศาลปกครองกลางที่จะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา ศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจซึ่งเป็นศาลยุติธรรมย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ได้ มิฉะนั้นสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องหน่วยราชการ หรือหน่วยงานของรัฐอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนชาวไทยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 62 ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 105บัญญัติให้ศาลอื่นที่รับฟ้องคดีปกครองหรือที่คดีปกครองอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับ มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไปจนคดีนั้นถึงที่สุดเป็นเหตุผลที่แสดงว่าศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจรับฟ้องคดีปกครองที่ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่อไป คงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาได้เฉพาะคดีที่ยังค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะบทบัญญัติดังกล่าวเพียงแต่บัญญัติรับรองอำนาจของศาลยุติธรรมที่รับฟ้องคดีปกครองหรือที่คดีปกครองอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับให้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเหล่านั้นต่อไปได้โดยไม่ต้องจำหน่ายคดีให้ไปฟ้องต่อศาลปกครองที่จะเปิดทำการในเวลาต่อมา หาใช่ประสงค์จะจำกัดอำนาจศาลยุติธรรมไม่ให้รับฟ้องคดีปกครองในระหว่างที่ศาลปกครองกลางยังไม่ได้เปิดทำการดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ ส่วนที่จำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์ว่าตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2542 มาตรา 12บัญญัติให้การร้องทุกข์ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522ยังคงมีผลบังคับอยู่ต่อไปจนกว่าศาลปกครองกลางจะเปิดทำการ โจทก์ย่อมใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้รับรองหรือคุ้มครองสิทธิของโจทก์ได้อยู่แล้วศาลยุติธรรมไม่มีอำนาจรับฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่า แม้โจทก์อาจใช้สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้ตามบทกฎหมายที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นอ้างก็ตาม แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงการร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของฝ่ายบริหาร ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีปกครองต่อศาลตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองในขณะที่ศาลปกครองกลางยังมิได้เปิดทำการ ศาลยุติธรรมชอบที่จะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องของโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป