คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3790-3792/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้คำสั่งที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจะเป็นคำสั่งที่ชอบ แต่เป็นคำสั่งที่ชอบเฉพาะประเด็นที่ว่าโจทก์ในฐานะคู่ความจะอุทธรณ์ในเรื่องขอสืบพยานใหม่ไม่ได้มิได้หมายความว่าห้ามศาลสูงมิให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ได้ ซึ่งอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้นมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 เมื่อคดีนี้ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมทั้งมีข้อเท็จจริงที่ยังโต้เถียงกันอยู่โจทก์จึงมีสิทธิที่จะสืบพยานต่อไป

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยสำนวนที่หนึ่งว่า จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยสำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และเรียกจำเลยสำนวนที่สามว่า จำเลยที่ 5 และที่ 6

โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสามสำนวนพร้อมบริวารได้บุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยทุกคนเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยทุกคนและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์

จำเลยทั้งสามสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ แต่ทำประโยชน์อยู่ในที่ดินของฝ่ายจำเลยเอง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากมิได้บรรยายให้จำเลยเข้าใจว่าบุกรุกที่ดินของโจทก์อย่างไร ส่วนไหนของที่ดินและบุกรุกด้วยวิธีการใดขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การทั้งสามสำนวนแล้วมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวนเคลือบคลุมพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งหกอ้างว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าจำเลยบุกรุกที่ดินตรงส่วนใด มีความกว้างยาวเท่าใด และด้วยวิธีใด เห็นว่า ตามฟ้องบรรยายความเป็นมาแห่งคดีเกี่ยวกับการที่โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท รวมถึงการที่จำเลยแต่ละคนทำละเมิดและจะต้องรับผิดต่อโจทก์ให้เป็นที่เข้าใจได้อย่างดี โดยระบุทิศและจำนวนเนื้อที่ที่จำเลยแต่ละคนบุกรุกเข้าไป ไม่มีข้อความใดเคลือบคลุมอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้มิได้ระบุว่าจำเลยแต่ละคนบุกรุกที่ดินตรงส่วนใด มีความกว้างยาวเท่าใด และด้วยวิธีใด ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ว โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลและมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว คำสั่งศาลชั้นต้นจึงถึงที่สุด แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบให้สมข้ออ้างตามฟ้อง โจทก์ย่อมแพ้คดีนั้น เห็นว่าแม้ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจะเป็นคำสั่งที่ชอบ แต่เป็นคำสั่งที่ชอบเฉพาะประเด็นที่ว่าโจทก์ในฐานะคู่ความจะอุทธรณ์ในเรื่องขอสืบพยานใหม่ไม่ได้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าห้ามศาลสูงมิให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานใหม่ให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความและพิพากษาใหม่ได้ ซึ่งอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในอันที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้นมีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 และตามกรณีนี้ปรากฏว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมทั้งคดีมีข้อเท็จจริงที่ยังโต้เถียงกันอยู่โจทก์จึงมีสิทธิที่จะสืบพยานต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ใช้อำนาจนี้โดยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามสำนวนฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share