คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378-379/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นายอำเภอมีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 118 ประกอบกับพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 วรรค 3ที่จะต้องตรวจตราและจัดการรักษาทางบกทางน้ำให้ไปมาโดยสะดวกตามที่จะเป็นไปได้ตามฤดูกาล ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ทางจังหวัดจึงประกาศห้ามรถยนต์รับส่งผู้โดยสารวิ่งในทางหลวงชนบทสายที่เป็นมูลเหตุ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตทั้งนี้ เพื่อตรวจตราและจัดการรักษาทางบกสายนี้ให้ไปมาได้ทุกฤดูกาลแม้จะยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายอันจะเกิดแก่ผู้โดยสาร อำนวยความสะดวกในการก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็ว และเป็นการชั่วคราวจนกว่ากรมการขนส่งทางบกจะประกาศเป็นเส้นทางเพื่อดำเนินการตามกฎหมายขนส่งต่อไปเท่านั้น จำเลยที่ 1 และบริษัท น. ขออนุญาตคณะกรรมการที่จังหวัดแต่งตั้งขึ้นอนุญาตให้บริษัท น. เดินรับส่งคนโดยสารได้แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ก็ไม่เชื่อฟัง นายอำเภอจึงมีคำสั่งห้ามรถจำเลย จำเลยก็ยังฝ่าฝืน จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลแสดงเจตนาออกโดย ส. จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการ และ ท. กับ ด. จำเลย ซึ่งเป็นคนขับผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ส. จำเลย ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำผิด

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิได้ออกประกาศลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2513ห้ามรถยนต์วิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางหลวงชนบทสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง ซึ่งเป็นเส้นทางอยู่ในระหว่างที่จังหวัดชัยภูมิกำลังก่อสร้าง และต่อมาวันที่10 มีนาคม 2513 นายอำเภอเมืองชัยภูมิอาศัยอำนาจตามมาตรา 117, 118, 122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ได้มีคำสั่งถึงจำเลยห้ามไม่ให้นำรถของจำเลยที่ 1 และรถในเครือของจำเลยที่ 1 วิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางสายนี้ซึ่งจำเลยทั้งสามได้ทราบประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดและคำสั่งของนายอำเภอแล้ว ต่อมาจำเลยได้ฝ่าฝืนคำสั่ง โดยนำรถยนต์โดยสารวิ่งรับส่งคนโดยสารบนทางหลวงชนบทสายนี้ คือ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2513 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามในสำนวนแรก ได้ร่วมกันนำรถโดยสารเลขทะเบียน ช.ย.00729 วิ่ง และวันที่ 1 เมษายน 2513 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามในสำนวนหลังได้นำรถโดยสารเลขทะเบียน ช.ย. 00728 วิ่ง ทั้งนี้ โดยจำเลยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368, 83

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอนั้นชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามในคดีทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 ปรับคนละ 500 บาท

จำเลยทั้งสามในคดีทั้งสองสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดและของนายอำเภอเมืองชัยภูมิไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำรถมาวิ่งจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ประกาศจังหวัดชัยภูมิเรื่องห้ามรถยนต์รับส่งคนโดยสารวิ่งในเส้นทางหลวงชนบทสายชัยภูมิ-หนองบัวแดงลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2513 นั้น ปรากฏว่าทางเส้นนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างขั้นบุกเบิก และพูนดินคันทางบางตอนมีการระเบิดหินด้วย หากให้รถรับส่งผู้โดยสารวิ่งในเส้นทางสายนี้โดยไม่มีการจำกัดหรือควบคุมอย่างใดแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ผู้โดยสาร ทั้งจะทำให้ทางชำรุดเสียหาย และเกิดความล่าช้ายุ่งยากในการทำงานของเครื่องจักรกลและเจ้าหน้าที่สร้างทางด้วย ทางจังหวัดจึงห้ามมิให้ผู้ใดนำรถยนต์ไปวิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางสายนี้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ นายอำเภอเมือง ซึ่งกรมการอำเภอมีหน้าที่ตามมาตรา 118 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ซึ่งต่อมาได้โอนมาเป็นหน้าที่ของนายอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ. 2495 มาตรา 40 วรรค 3 จะต้องตรวจตราและจัดการรักษาทางบกทางน้ำให้ไปมาโดยสะดวกตามที่จะเป็นได้ทุกฤดูกาล และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวทางจังหวัดจึงได้กำหนดวิธีการขึ้น โดยประกาศห้ามรถยนต์รับส่งผู้โดยสารวิ่งในเส้นทางสายนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ทั้งนี้ก็เพื่อตรวจตราและจัดการรักษาทางบกสายดังกล่าวให้ไปมาได้ทุกฤดูกาลซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้ขออนุญาตด้วย แต่คณะกรรมการที่จังหวัดได้แต่งตั้งขึ้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครชัยราชสีมาเดินรถเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้นำรถยนต์วิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางสายชัยภูมิ-หนองบัวแดง จำเลยที่ 1 ได้อุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการพิจารณาแล้วให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันว่ารถในเครือของจำเลยที่ 1 จะวิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางนี้ไม่ได้ เป็นการชั่วคราว จนกว่ากรมการขนส่งทางบกจะประกาศเป็นเส้นทางเพื่อดำเนินการตามกฎหมายขนส่งต่อไปเท่านั้น จำเลยได้ทราบคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้วยังคงฝ่าฝืน จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเมืองชัยภูมิอันเป็นความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลแสดงเจตนาออกโดยนายสุระผู้จัดการจำเลยที่ 2 นายทองคำจำเลยที่ 3 ของสำนวนแรกและนายดอกซ้อนจำเลยที่ 3 ของสำนวนหลัง ต่างเป็นคนขับรถปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ทั้งสองสำนวน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันกระทำผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลนี้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share