แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ระเบียบว่าด้วยพนักงานและลูกจ้างของจำเลยกำหนดว่า พนักงานหรือลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างมีสิทธิได้รับทั้งค่าชดเชยและเงินบำเหน็จ หากลูกจ้างผู้ใดมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จซึ่งมีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชย จึงให้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่สูงกว่าค่าชดเชยเท่านั้น โดยลูกจ้างผู้นั้นยังคงได้รับเงินค่าชดเชยเต็มจำนวนตามสิทธิของตนที่พึงได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 อยู่นั่นเอง ระเบียบดังกล่าวจึงหาได้หลีกเลี่ยงที่จะไม่จ่ายค่าชดเชย หรือ ขัดต่อกฎหมายแรงงาน หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่
เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานนายจ้างจะจ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ และถ้าจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดก็แล้วแต่นายจ้างจะกำหนด จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะกระทำผิดวินัยจำเลยผู้เป็นนายจ้างย่อมมีอำนาจตามระเบียบที่จะใช้ดุลพินิจไม่จ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จค้างจ่าย โบนัส สินจ้างค้างจ่าย เงินทดแทนค่าเสียหาย และดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์กระทำผิดวินัย จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ตามฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทสหกรณ์การเกษตร จำกัด ได้จ้างโจทก์เป็นพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2514 จนถึงวันที่ 15พฤศจิกายน 2528 ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ 7,635 บาทจำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานตามคำสั่งที่ 12/2528ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2528 โดยให้ออกจากงานตั้งแต่วันที่ 16พฤศจิกายน 2528 โดยโจทก์ได้รับค่าชดเชยจำนวน 45,810 บาท กับเงินบำเหน็จจำนวน 68,715 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 114,525 บาท จากจำเลยผู้เป็นนายจ้างแล้ว
…’ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามฟ้องโดยอุทธรณ์เป็นใจความว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินบำเหน็จนั้นไม่ถูกต้อง เพราะตามข้อบังคับในเรื่องการคำนวณบำเหน็จของจำเลยได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า เงินบำเหน็จเป็นส่วนหนึ่งที่โจทก์ควรจะได้ตามอัตราเงินเดือนเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน ส่วนเงินชดเชย (ค่าชดเชย) เป็นเงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้กับลูกจ้างเมื่อต้องออกจากงาน จึงเป็นเงินคนละประเภทคนละส่วนกันการที่จำเลยออกกฎข้อบังคับโดยการนำเอาเงินชดเชยมาหักจากเงินบำเหน็จซึ่งเป็นเงินที่โจทก์ควรจะได้รับเต็มตามจำนวนตามวิธีการคิดเงินบำเหน็จ แสดงให้เห็นได้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยออกกฎระเบียบขึ้นมาโดยมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าชดเชยจึงได้กำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่เกินกว่าเงินชดเชย จึงขัดต่อกฎหมายแรงงานโดยชัดแจ้งและขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่มีผลใช้บังคับ ตกเป็นโมฆะนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ระเบียบว่าด้วยพนักงานและลูกจ้างฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2527) สหกรณ์การเกษตรเมืองสิงห์บุรี จำกัด หมวด 8ว่าด้วยการจ่ายเงินโบนัส และเงินบำเหน็จ และค่าชดเชย เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 14 ข้อ 29 กำหนดว่า ‘พนักงานหรือลูกจ้างของสหกรณ์ออกจากสหกรณ์เพราะสหกรณ์เลิกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากสหกรณ์ ดังนี้ฯลฯ
(3) พนักงานหรือลูกจ้างของสหกรณ์ซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปีขึ้นไปโดยรวมวันหยุดวันลาและวันที่สหกรณ์สั่งให้หยุดเพื่อประโยชน์ของสหกรณ์ ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน’ และข้อ 30 กำหนดว่า ‘พนักงานหรือลูกจ้างของสหกรณ์คนใดทำงานในสหกรณ์นี้ด้วยความเรียบร้อยเป็นเวลาติดต่อกันมาไม่น้อยกว่าห้าปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเมื่อออกจากตำแหน่ง เว้นแต่การออกเพราะถูกลงโทษไล่ออก หรือเลิกจ้าง และมีสิทธิได้รับค่าชดเชยแล้วตามข้อ 29
การคำนวณเงินบำเหน็จ ให้เอาเงินเดือนสุดท้ายตั้ง คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานในสหกรณ์ เศษของปีถ้าถึง 180 วัน ให้นับเป็นหนึ่งปี ถ้าต่ำกว่านี้ให้ปัดทิ้ง
ในกรณีคำนวณเงินบำเหน็จตามระเบียบนี้มีจำนวนมากกว่าเงินชดเชยที่พนักงานหรือลูกจ้างพึงได้รับตามข้อ 29 ให้สหกรณ์จ่ายเงินบำเหน็จเพิ่มได้เฉพาะส่วนที่เกินกว่าเงินชดเชยนั้นฯลฯ’ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินบำเหน็จตามระเบียบดังกล่าวเป็นเงินสงเคราะห์ที่จ่ายให้ลูกจ้างสำหรับความดีความชอบในการที่ได้ทำงานมากกว่า 5 ปี และออกจากงานไป ซึ่งตามระเบียบก็ได้กำหนดไว้ว่าในกรณีที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับทั้งค่าชดเชยตามข้อ 29 และเงินบำเหน็จ ตามข้อ 30 หากลูกจ้างผู้นั้นมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ ซึ่งมีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชย จึงให้ริบเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่สูงกว่าค่าชดเชยเท่านั้น โดยโจทก์ยังคงได้รับเงินค่าชดเชยเต็มจำนวน ตามสิทธิของตนที่จะพึงได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 อยู่นั่นเอง ระเบียบดังกล่าวข้างต้นจึงหาได้หลีกเลี่ยงที่จะไม่จ่ายค่าชดเชย หรือขัดต่อกฎหมายแรงงาน หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางแล้วว่า จำเลยได้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 45,810บาท และจ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่เกินกว่าค่าชดเชยเป็นเงินจำนวน 68,715 บาท ให้แก่โจทก์ อันเป็นการจ่ายเงินทั้งสองจำนวนแก่โจทก์โดยชอบด้วยระเบียบดังกล่าวข้างต้นแล้วเช่นนี้จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือเงินบำเหน็จส่วนที่ขาดดังโจทก์อุทธรณ์อีก อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ประการสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับเงินโบนัสจำนวน 10,000 บาท ตามฟ้อง โดยอุทธรณ์เป็นใจความว่าตามข้อบังคับของจำเลยระบุว่า เมื่อสิ้นปีทางบัญชี สหกรณ์อาจจัดสรรกำไรเป็นโบนัสแก่พนักงานและลูกจ้างของสหกรณ์ และนับตั้งแต่โจทก์ทำงานในสหกรณ์ของจำเลยเป็นต้นมา ก็ได้ทำการจัดสรรเงินเป็นโบนัสทุกปีตลอดมามิได้ละเว้น กรณีของโจทก์ถือได้ว่า โจทก์ได้ทำงานครบรอบในปีบัญชีเช่นกัน จึงชอบที่จะได้รับเงินโบนัสดังกล่าวนี้ด้วย ที่ศาลแรงงานกลางงดจ่ายเงินโบนัสของจำเลยต่อโจทก์ จึงไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับพิเคราะห์แล้ว ระเบียบว่าด้วยการพนักงานและลูกจ้าง ฉบับที่ 1(พ.ศ. 2527) สหกรณ์การเกษตรเมืองสิงห์บุรี จำกัด หมวด 8 ว่าด้วยการจ่ายเงินโบนัส และเงินบำเหน็จ และเงินค่าชดเชย เอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 14 ข้อ 27 กำหนดว่า ‘เมื่อสิ้นปีทางบัญชีปีหนึ่งๆ สหกรณ์อาจจัดสรรกำไรเป็นโบนัสแก่พนักงานและลูกจ้างของสหกรณ์ได้ตามข้อบังคับของสหกรณ์ฯลฯ’ และข้อ 28 กำหนดว่า ‘คณะกรรมการดำเนินการอาจไม่จ่ายเงินโบนัสไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสหกรณ์คนใดก็ได้ หากปรากฏว่าพนักงานหรือลูกจ้างสหกรณ์นั้น ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดบกพร่องอยู่เป็นประจำ ไม่อุทิศเวลาให้แก่งานสหกรณ์ ลาหยุดในระหว่างปีบัญชีเกินสมควร ทั้งไม่พยายามขวนขวายแก้ไขข้อผิดพลาดหรือบกพร่องของตน ตามที่คณะกรรมการดำเนินการหรือพนักงานส่งเสริมสหกรณ์ได้ให้ความเห็นแนะนำเช่นว่านั้น’ ศาลฎีกาเห็นว่า เงินโบนัสเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน นายจ้างจะจ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ และถ้าจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดก็แล้วแต่นายจ้างจะกำหนด ในเมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะกระทำผิดวินัยตามคำสั่งเลิกจ้างนั้น คณะกรรมการของจำเลยผู้เป็นนายจ้างย่อมมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจไม่จ่ายเงินโบนัสตามฟ้องให้แก่โจทก์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว’
พิพากษายืน.