คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3779/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายใช้ไม้เป็นอาวุธเข้าไปในบ้านที่จำเลยพักอาศัย เมื่ออยู่ห่างจำเลย 2 เมตร ได้เงื้อไม้จะตีจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่หัวไหล่ 1 นัด แม้อาวุธปืนดังกล่าวจะมิใช่ของจำเลย แต่การที่จำเลย ใช้อาวุธปืนในลักษณะป้องกันตัวและใช้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นโดย ไม่ปรากฏเจตนาจะยึดถืออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนรายนี้ไว้เพื่อ ความครอบครองของตน ทั้งในขณะเกิดเหตุผู้เป็นเจ้าของปืนก็อยู่ใน บ้านที่เกิดเหตุด้วย ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืนดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต และ ความผิดข้อหานี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ สืบพยานหลักฐานในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนตามฟ้อง ศาล ย่อมพิพากษายกฟ้องข้อหานี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 91, 288, 371 และคืนอาวุธปืนพร้อมกระสุนปืนของกลางแก่เจ้าของ

จำเลยให้การรับสารภาพ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288, 69 ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 3 ปี ความผิดฐานมีอาวุธปืนจำเลยให้การรับสารภาพ ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าจำเลยนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยสำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและความผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งและหนึ่งในสาม ตามลำดับ ฐานมีอาวุธปืนคงจำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าจำคุก 2 ปีรวมจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน คืนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องผู้เสียหายได้ใช้ไม้เป็นอาวุธเข้าไปในบ้านเลขที่ 17/1 ซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยพักอาศัยห่างจากจำเลยประมาณ 2 เมตร ได้เงื้อไม้จะตีจำเลยจำเลยได้ยิงผู้เสียหายที่หัวไหล่ 1 นัด ไม้หลุดจากมือผู้เสียหาย ผู้เสียหายก้มลงใช้มือซ้ายหยิบไม้ดังกล่าวขึ้นมาจำเลยได้ยิงที่แขนซ้ายผู้เสียหายอีก1 นัด จากนั้นผู้เสียหายได้วิ่งหนีไป คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหานี้ แม้พลตำรวจวิโรจน์จะอยู่บ้านเดียวกับจำเลย แต่การที่จำเลยนำอาวุธปืนออกมายิงผู้เสียหาย อาวุธปืนที่ใช้ยิงย่อมขาดจากการครอบครองของพลตำรวจวิโรจน์ไปแล้วและถือได้ว่าเป็นการที่จำเลยยึดถืออาวุธปืนกระทำการเพื่อตนในการใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำผิดในขณะนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนในลักษณะป้องกันตัวและใช้ในชั่วระยะเวลาอันสั้นโดยไม่ปรากฏเจตนาจะยึดถืออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนรายนี้ไว้เพื่อความครอบครองของตนอย่างใดเลย ทั้งในขณะเกิดเหตุนั้นพลตำรวจวิโรจน์ผู้เป็นเจ้าของก็อยู่ในบ้านที่เกิดเหตุด้วยพลตำรวจวิโรจน์จึงคงครอบครองอาวุธปืนอยู่ และถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต แม้ความผิดข้อหานี้จำเลยให้การรับสารภาพก็ตามแต่เมื่อโจทก์สืบพยานหลักฐานในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามฟ้องศาลย่อมพิพากษายกฟ้องข้อหานี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share