แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นสามีของ ส. บุตรของผู้เสียหายโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยและ ส. ทำนาขายข้าวได้เงิน 7,500 บาท ส.นำเงินดังกล่าวใส่ไว้ในกระเป๋าถือฝากเก็บไว้ในหีบของผู้เสียหายเช่นนี้ การที่จำเลยไขกุญแจเปิดหีบของผู้เสียหายแล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยเข้าใจว่าเป็นเงินของจำเลย จำเลยมีสิทธิเอาไปได้จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปในบ้านที่อยู่อาศัยของนายปรีชาชื่นโพธิ์ ผู้เสียหายแล้วลักทรัพย์เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ของผู้เสียหายและเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ของนางสายชู ชื่นโพธิ์ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ และคืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลดโทษให้หนึ่งในสาม จำคุก ๒ ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๓๐,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นสามีของนางสายชู ชื่นโพธิ์บุตรของผู้เสียหาย แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ได้อยู่กินด้วยกันที่บ้านของผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุ ๑ ปีเศษ ในวันเกิดเหตุจำเลยทะเลาะกับนางสายชูแล้วถูกผู้เสียหายด่าและขับไล่ จำเลยจึงไขกุญแจหีบใส่เงินในห้องเก็บของเอาเงิน ๗,๕๐๐ บาทในหีบไป แล้วจำเลยกลับไปอยู่บ้านบิดามารดาของจำเลยโดยไม่กลับมาอยู่กินกับนางสายชูอีก เงินจำนวน ๗,๕๐๐ บาทที่จำเลยไขกุญแจหีบหยิบเอาไปนี้เป็นเงินที่จำเลยได้มาจากการขายข้าวเปลือกครั้งที่ ๑ แล้วมอบให้นางสายชูภรรยาเก็บไว้ นางสายชูนำเงินจำนวน ๗,๕๐๐ บาทไปฝากเก็บไว้ในหีบของผู้เสียหายซึ่งเป็นบิดา ก็เป็นการขอเก็บไว้ในที่ปลอดภัยด้วยเท่านั้นดังจะเห็นได้ว่าเงินจำนวนนี้ได้ใส่ไว้ในกระเป๋าถือสตรีอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นกระเป๋าของนางสายชูเอง การที่จำเลยหยิบเอากุญแจไขหีบของผู้เสียหายแล้วหยิบเอาเฉพาะเงินจำนวน๗,๕๐๐ บาท ซึ่งอยู่ในกระเป๋าถือของนางสายชูภรรยาของจำเลยไปโดยจำเลยเข้าใจว่าเป็นเงินของจำเลย มีสิทธิเอาไปได้ จึงขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ดังโจทก์ฟ้องและฎีกา ส่วนเงินที่ผู้เสียหายอ้างว่ามีจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท อยู่ในถุงกระดาษ ยังเป็นที่สงสัยอยู่ว่ามีหรือไม่ หากมีจริงพยานหลักฐานโจทก์ก็ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะเอาไปด้วย
พิพากษายืน.