คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมยอมไปโรงแรมกับจำเลยที่ 2 เพราะหลงกลอุบายหลอกลวงว่าสามีโจทก์ร่วมนอกใจ ให้ไปจับผิดสามี แล้วจำเลยที่ 1 สามีจำเลยที่ 2 ได้เข้ามาช่วยกันถอดเสื้อผ้า และจำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนบังคับขู่เข็ญ ขณะจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 ก็ถ่ายภาพไว้ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมโดยมีและใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276 วรรคสอง,83

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง, 310, 83 ลงโทษตามมาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือน และตามมาตรา 337, 80 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์โจทก์ร่วม และจำเลยทั้งสองนำสืบรับกัน และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเป็นยุติว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ได้พาโจทก์ร่วมไปที่ห้องพักในโรงแรมเพลบอย ซอยนานาเหนือ ขณะที่จำเลยที่ 2 และโจทก์ร่วมอยู่ในห้องพักของโรงแรมดังกล่าว ได้มีจำเลยที่ 1 ตามคนทั้งสองเข้าไปในห้องพัก แล้วโจทก์ร่วมได้ถูกจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 2ร่วมประเวณีจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้พาโจทก์ร่วมไปส่งที่ร้านโจทก์ร่วม และต่อมาวันเดียวกันนั้นเวลาประมาณ 18 นาฬิกาขณะที่นายพิชัยสามีโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมกำลังอยู่ที่บ้านนั้น จำเลยที่ 2ได้โทรศัพท์ไปถึงโจทก์ร่วมให้นำเงิน 100,000 บาท ไปให้จำเลยที่ 2ที่ห้องคนไข้ ห้องเลขที่ 330 ในโรงพยาบาลสมิติเวช มิฉะนั้นจำเลยที่ 2จะเอารูปถ่ายที่จำเลยที่ 2 ถ่ายในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 อัดส่งไปให้ญาติพี่น้องของนายพิชัยสามีโจทก์ร่วมดูแต่โจทก์ร่วมไม่ยอมให้เงินจำเลยที่ 2 ตามที่จำเลยที่ 2 สั่งโดยได้นำความแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฐานพยายามกรรโชกทรัพย์จำคุกคนละ 2 ปี ซึ่งข้อหาฐานพยายามกรรโชกทรัพย์ได้เสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วโดยศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2

คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมโดยใช้ปืนเป็นอาวุธขู่เข็ญโจทก์ร่วมมิให้ขัดขืน หรือเป็นความสมัครใจของโจทก์ร่วมที่จะร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 เอง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมมีตัวโจทก์ร่วมเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุเวลา 14 นาฬิกา ขณะที่โจทก์ร่วมอยู่ที่ร้านนั้นได้มีจำเลยที่ 2ซึ่งรู้จักชอบพอกับโจทก์ร่วมและสามีโจทก์ร่วมมาก่อนได้มาหลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยอุบายต่าง ๆ อ้างว่าสามีโจทก์ร่วมประพฤตินอกใจโจทก์ร่วมขั้นแรกโจทก์ร่วมจะไม่ไปกับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้ออกอุบายว่าผู้ที่นายพิชัยนัดพบที่โรงแรมเพลบอยนั้นคือตัวจำเลยที่ 2 เอง ทั้งยังอ้างว่าจะพาไปดูประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นโดยจำเลยที่ 2 ว่าจะเป็นคนขับรถพาโจทก์ร่วมไปที่ห้องพักของโรงแรมและพาโจทก์ร่วมกลับส่งเอง จนโจทก์ร่วมตายใจเห็นดีเห็นชอบและยอมไปกับจำเลยที่ 2 ครั้นเมื่อถึงโรงแรมเพลบอยแล้วโจทก์ร่วมจะไม่เข้าไปในห้องพัก จำเลยที่ 2 ก็ออกอุบายอีกว่า คอยอยู่นอกห้องมิได้เดี๋ยวบ่อยโรงแรมจะมาทำมิดีมิร้ายเอา โจทก์ร่วมจึงได้ยอมเข้าไปในห้องพักของโรงแรมกับจำเลยที่ 2 จนต่อมาได้ถูกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ใช้ปืนขู่เข็ญและร่วมกันกอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมและได้ถูกจำเลยที่ 2 ใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายภาพไว้หลายภาพ และต่อมาได้ถูกจำเลยที่ 2 ขู่เข็ญเรียกร้องเอาเงินหนึ่งแสนบาทในตอนเย็นวันนั้นศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อนำสืบของโจทก์แล้วเห็นว่า คดีนี้แม้แต่พยานโจทก์จะมีแต่เพียงโจทก์ร่วมปากเดียวที่อ้างว่าจำเลยที่ 2 มาหลอกลวงและถูกทั้งสองร่วมกันใช้ปืนและใช้กำลังขู่เข็ญ และโจทก์ร่วมถูกจำเลยที่ 1ข่มขืนจนสำเร็จความใคร่โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเหลือโดยถือปืนขู่มิให้ขัดขืนมิฉะนั้นจะยิง และจำเลยที่ 2 ใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายภาพตอนถูกข่มขืนก็ดีโจทก์ร่วมเบิกความสมเหตุผล โจทก์ร่วมมีสามีและบุตรแล้ว การที่โจทก์ร่วมยอมไปที่โรงแรมที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 2 จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมหลงกลอุบายของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ทำกลอุบายหลอกลวงว่าสามีโจทก์ร่วมนอกใจให้โจทก์ร่วมไปจับผิดสามีเมื่อคำนึงถึงเหตุผลคนที่พาโจทก์ร่วมก็เป็นผู้หญิงเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมและผู้ที่จะไปพบก็เป็นสามีโจทก์ร่วมเอง จึงเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อว่าการที่โจทก์ร่วมยอมไปโรงแรมกับจำเลยที่ 2 เพราะโจทก์ร่วมหลงกลอุบายของจำเลยที่ 2 โดยไม่มีข้อสงสัย ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าโจทก์ร่วมไปที่โรงแรมเพลบอยกับจำเลยที่ 2 เพราะความสมัครใจของโจทก์ร่วมเองเพราะในวันที่ 13 ตุลาคม 2523 ก่อนวันเกิดเหตุ 3 วัน โจทก์ร่วมก็เคยไปร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 ณ ที่ห้องพักโรงแรมแห่งนั้นหนหนึ่งแล้วข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุผลน่าเชื่อว่าจะเป็นเช่นจำเลยทั้งสองกล่าวอ้าง เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนใดที่จะยอมให้เพื่อนของสามีของตนรวมประเวณีเพื่อให้เพื่อนของสามีแก้แค้นสามีตน โจทก์ร่วมมีสามีและมีบุตรกับสามีการที่ไปได้เสียกับคนอื่นอีกถือว่าเป็นการประพฤติชั่วย่อมนำความเสียชื่อเสียงมาสู่ตนและครอบครัวทำให้ได้รับความอับอายโจทก์ร่วมก็ดี สามีโจทก์ร่วมก็ดีกับจำเลยทั้งสองก็ไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน หากไม่เป็นความจริงดังที่โจทก์ร่วมเบิกความแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่โจทก์ร่วมหรือสามีโจทก์ร่วมจะนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสอง และคดีได้ความต่อมาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองพาโจทก์ร่วมมาส่งที่ร้านโจทก์ร่วมแล้ว ต่อมาโจทก์ร่วมได้พบกับสามีโจทก์ร่วมได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังในทันทีและพากันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ต่อมาในคืนนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลลุมพินีได้ส่งโจทก์ร่วมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ พันตำรวจเอกอาภรณ์ รัชตะประกร นายแพทย์โรงพยาบาลตำรวจได้ตรวจพบอสุจิและน้ำอสุจิในอวัยวะสืบพันธุ์ของโจทก์ร่วมและพยานปากนี้ยังได้เบิกความด้วยว่าผู้หญิงที่เคยมีบุตรแล้วถ้าถูกข่มขืนก็จะตรวจไม่พบรอยฟกช้ำอย่างใด ตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมได้ความต่อไปว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันใช้กำลังถอดเสื้อผ้าโจทก์ร่วมออกแล้ว ก่อนที่โจทก์ร่วมจะถูกจำเลยที่ 1 ข่มขืน จำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนขู่โจทก์ร่วมแล้วคนทั้งสองได้ช่วยกันลากโจทก์ร่วมมาเตียงแล้วโจทก์ร่วมได้ถูกจำเลยที่ 2 ใช้กล้องถ่ายรูปถ่ายภาพ และในขณะที่ถูกจำเลยที่ 1ข่มขืนก็ถูกจำเลยที่ 2 ถ่ายภาพอีกหลายภาพ เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวได้ที่ห้องพักในโรงพยาบาลสมิติเวชก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นกล้องถ่ายรูปได้จากระเป๋าถือของจำเลยที่ 2 ด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ฟิล์มที่จำเลยที่ 2 ถ่ายไว้ก็ไม่เป็นข้อสำคัญเพราะจำเลยอาจถอดไปเสียก่อนจึงค้นไม่พบ คดีจึงมีเหตุผลน่าเชื่อตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบว่าโจทก์ร่วมได้ถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันข่มขืนใจ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ข่มขืนมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยเหลือใช้ปืนบังคับขู่เข็ญโจทก์ร่วม ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่าโจทก์ร่วมสมัครใจร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share