คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นบิดาจำเลย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์พิพาทอยู่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกทรัพย์สินพิพาทนี้คืนครั้งหนึ่งแล้ว และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคดีโดยแถลงว่า โจทก์ไม่ติดใจเอาความกับจำเลยต่อไป โดยได้ทำสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทกับจำเลยฉะบับหนึ่ง มีข้อความกล่าวอ้างถึงคดีที่ฟ้องนั้น และมีข้อความกล่าวถึงหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องปฏิบัติต่อโจทก์ โดยไม่ปรากฎว่าทรัพย์สินที่พิพาท โจทก์จำเลยได้ตกลงให้กรรมสิทธิอยู่แก่ใคร เช่นนี้ เมื่อทรัพย์พิพาทอยู่ในความปกครองของจำเลย และโจทก์ตกลงทำปราณีประนอมกับจำเลยดังกล่าว ก็ต้องตีความว่าโจทก์ได้ตกลงไม่โต้แย้งกรรมสิทธิของจำเลยต่อไปแล้ว เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินและข้อสัญญาต่าง ๆ ที่จำเลยให้ไว้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องเรียกทรัพย์พิพาทจากจำเลยอีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินมือเปล่า ๓ แปลง เป็นที่นา ๒ แปลง ที่บ้าน ๑ แปลงเป็นของโจทก์ เมื่อ ๗-๘ ปีมานี้ โจทก์ให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรทำนาโดยส่งข้าวเป็นค่าเช่า ส่วนที่บ้านให้จำเลยอาศัยอยู่ โจทก์ได้กู้เงินจำเลยที่ ๒ฐ ๒๐๐ บาท ได้เอานาที่ให้จำเลยเช่าประมาณ ๕ ไร่เศษเป็นประกัน บัดนี้ จำเลยจะเอาทรัพย์เหล่านี้เป็นของตนเสีย และไม่ยอมส่งผลเมล็ดข้าวในนาดังเคย จึงขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินทั้ง ๓ แปลงเป็นของโจทก์ อย่าให้จำเลยเกี่ยวข้อง และให้จำเลยที่ ๒ รับชำระเงิน ๒๐๐ บาทคืนจากโจทก์.
กรณีนี้ โจทก์ได้เคยยื่นฟ้องจำเลยครั้งหนึ่งแล้ว แต่จำเลยได้มาอ้อนวอนขอโทษ และทำหนังสือรับรองจะส่งข้าวให้โจทก์ตามเคย กับจะให้เงิน ๖๐๐ บาท แต่แล้วจำเลยก็ไม่ให้เงินและไม่ส่งข้าว โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์เคยฟ้องเรียกที่พิพาทนี้ในคดีดำที่ ๖/๒๔๘๙ ครั้งหนึ่งแล้วได้ทำหนังสือสัญญาปราณีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมรับว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงว่าสัญญาปราณีประนอมหมาย ล.๑ นั้นไม่กินความถึงที่นาและบ้านรายวิวาทด้วย โจทก์ยังถือเป็นเจ้าของอยู่ ต่อมาโจทก์สละข้อเรียกร้องฉะเพาะที่นาอันดับ ๑ ตอนเหนือเสีย คงว่ากล่าวแต่ทรัพย์ที่เหลือนอกนั้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามสัญญาปราณีประนอมยอมความหมาย ล.๑ ยังฟังไม่ได้ว่า ได้มีข้อตกลงให้ที่ดินพิพาทเป็นของใคร ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องโจทก์ พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฉะเพาะข้อ ก.ม. ในการตีความเอกสารสัญญาปราณีประนอมยอมความ กับข้ออ้างบทคัดสำนวนเรื่องการนำสืบ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเรียกทรัพย์สินพิพาทนี้คืนครั้งหนึ่งแล้ว และต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนคดีโดยแถลงว่า โจทก์ไม่ติดใจเอาความกับจำเลยต่อไป ตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ โจทก์ก็ได้กล่าวว่าที่ถอนฟ้องก็เพราะมีสัญญา++++ลงระงับข้อพิพาทกันฉะบับหนึ่ง ซึ่งคู่ความรับกันว่า คือเอกสารหมาย ล.๑ มีข้อความล้างถึงคดีดำ ๖/๒๔๘๙ ที่ฟ้องแล้วนั้น และในข้อ ๒ ว่า “คดีนี้ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยยอมตกลงปราณีประนอมกันดังนี้คือ
ก. โจทก์ยอมรับเอาเงินจากจำเลย ๖๐๐ บาท
ข. ฝ่ายจำเลยยอมส่งข้าวให้โจทก์คนละ ๕๐ ++++ต่อปี ทุกปี จนตลอดชีวิตของโจทก์
ค. ยอมสัญญาจะเลี้ยงดูโจทก์จนตลอดชีวิต โดยไม่โยกย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น
ง. เวลาโจทก์เจ็บป่วย จำเลยยอมสัญญาพยาบาลตามกำลังที่จกระทำได้
จ. เมื่อโจทก์สิ้นบุญไปแล้ว ให้จำเลยเป็นผู้จัดการศพตามสมควรแก่ฐานานุรูป ส่วนบุตรของภรรยาใหม่ของโจทก์ ก็ให้จำเลยเป็นผู้อุปการะตามสมควร
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความตามสัญญาปราณีประนอมยอมความฉะบับนี้ จริงอยู่ไม่มีหนังสือปรากฎว่าทรัพย์สินที่พิพาท โจทก์ จำเลยได้ตกลงให้กรรมสิทธิอยู่แก่ใคร แต่การที่ตีความในเอกสารนั้น ต้องพิจารณาดูเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าลายลักษณ์อักษร เมื่อทรัพย์สินอยู่ในความปกครองของจำเลยและโจทก์ปราณีประนอมยอมความ ไม่ว่ากล่าวคดีพิพาทนั้นกับจำเลยต่อไป ก็ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ติดใจโต้แย้งกรรมสิทธิของจำเลยต่อไปแล้ว เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงิน ๖๐๐ บาท และข้อสัญญาต่างที่จำเลยให้ไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องร้องได้อีก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share